นายภูมิธรรม เวชยชัย

  • กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ต้องกราบ ขอบพระคุณนะครับ ผม ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี มาเพื่อจะตอบกระทู้ถาม และข้อสงสัยที่ท่านสมาชิกมีข้อสงสัยนะครับ ได้ฟังจากท่านสมาชิกแล้วผมคิดว่า ท่านได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละส่วนก็เป็นข้อเท็จจริงตามนั้น แต่ว่ารายละเอียด ต่าง ๆ อาจจะไม่ครบถ้วนหรือว่าอาจจะคลาดเคลื่อน ผมคิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำวันนี้รัฐบาล ไม่ได้คิดว่าจะทำให้ปัญหาต่าง ๆ มันถูกดึงให้ล่าช้า ตรงกันข้ามสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำวันนี้ รัฐบาลอยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราได้ตัดสินใจแล้วก็ยื่น ขณะนี้ก็ต้องบอกว่า ตามที่ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติได้พูดถึงเรามีการดำเนินการมา ๔ ครั้ง หลายครั้งมันก็มีข้อสรุป แล้วก็ต่อ ๆ มาตั้งแต่ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ก็มีข้อสรุปที่เปลี่ยนแปลงไปเพิ่มเติมมากขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น ก็ต้องกราบเรียนว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาอยู่มันสะท้อนความรู้สึกที่ยังไม่ตรงกันของคนในสังคมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัญหาสำคัญ ๆ หลายเรื่อง เพราะฉะนั้นการทำครั้งนี้เรามุ่งมั่น มุ่งมั่นอย่างที่ได้กราบเรียน ไปแล้วว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้ แล้วก็เสนอเป็นนโยบายของรัฐต่อสภาผู้แทนราษฎร ต่อสมาชิกรัฐสภา ก็จะดำเนินการ เพราะฉะนั้นในการประชุมคณะรัฐมนตรีวาระแรกเราได้ นำเรื่องนี้เข้าหารือ แต่อย่างว่าในเมื่อสถานการณ์และความเป็นจริงมันชี้ให้เห็นว่าทั้ง ๔ ครั้ง ที่เราพยายามทำแม้จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็ดี แต่ว่าเรื่องรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคนทุกส่วนในสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังพยายามทำครั้งนี้คือ พยายามหาข้อสรุปที่มันเป็นข้อสรุปที่สามารถที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีความเป็น ประชาธิปไตยมากขึ้น เราต้องยอมรับว่าวันนี้หลายเรื่องถ้าเราไม่สามารถกำหนดประเด็น ให้เหมาะสมชัดเจนมันจะกลายเป็นปัญหาที่ก่อความขัดแย้งใหม่ขึ้น เพราะฉะนั้น ในการดำเนินการครั้งนี้รัฐบาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ท่านนายกรัฐมนตรีหลังจาก บัญชาการให้มีการดำเนินการแล้วเราก็ได้มีการคิดรายละเอียดและทบทวน ผมอยาก กราบเรียนอย่างนี้ว่าคณะกรรมการที่จะติดตามการหาข้อสรุปในการทำประชามติว่า มีแนวทางอย่างไรแล้ว ก็เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้นก็พูดชัดว่าเราจะทำแนวทางการทำประชามติ แล้วก็ ทำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขปัญหาความแตกต่างของประชาชนในสังคม ขณะนี้เราวางหลักการ ไว้ชัดเจนว่าอันที่ ๑ เราต้องการทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด กรอบเวลา ที่เราวางก็เป็นกรอบเวลาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญหนดส่วนหนึ่งว่าต้องมีการทำประชามติ อีกส่วนหนึ่งก็คือตามกรอบกฎหมายที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นถ้าคิดจาก Timeline แล้วเราคิดว่าภายใน ๔ ปีที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เราจะสามารถทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เกิดความเห็นชอบของทุกฝ่าย ทุกกลุ่มในสังคม โดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ก็จะทำได้สำเร็จภายใน ๔ ปีที่รัฐบาลนี้ทำอยู่ ที่ผมกล่าวว่า ๔ ปีที่รัฐบาลนี้ทำอยู่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะยืดเวลาไปเรื่อย ๆ แต่เราคิด Timeline ที่ไกลที่สุดมันก็อยู่ที่ประมาณ ๓ ปีกว่า แต่ทั้งหมดในแต่ละช่วงเวลานี้สามารถ ย่นระยะเวลาได้ อันนี้คือสิ่งที่คณะกรรมการที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นครั้งนี้กำลังจะต้องไปหา แนวทางทำอย่างไรที่จะให้การทำประชามติตามกฎหมายที่ว่าไว้ แล้วก็ตามข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด เพราะการทำประชามติแต่ละครั้งมันต้องใช้เงินประมาณ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ล้านบาท ถ้ายิ่งทำมากมันก็เหมือนกับการเลือกตั้งหลาย ๆ ครั้ง ผมคิดว่า ในเวลาอันใกล้ขนาดนี้ไม่ควรจะต้องเสียเงินไปจำนวนมากขนาดนั้น จึงพยายามหาลู่ทางว่า ถ้าเป็นไปได้เราอยากทำประชามติสัก ๒ ครั้ง แต่ถ้าดูตามกฎ ตามระเบียบ ตามที่พูด มันอาจจะต้องเป็น ๓ ครั้งหรือ ๔ ครั้งถ้าตีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลมุ่งมั่น อยากจะให้เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทำประชามติให้ตอบสนอง มีส่วนร่วมจากทุกคน แล้วก็แก้ไข ความแตกต่าง

    อ่านในการประชุม

  • ประเด็นที่ ๒ ที่รัฐบาลมุ่งมั่นก็คือว่าเราอยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ทำได้สำเร็จ ไม่ใช่เสนอขึ้นมาแล้วก็มีการตกไปเหมือน ๔ ครั้งที่ผ่านมา เมื่อต้องการทำให้ สำเร็จจึงต้องพยายามจะหาจุดร่วมที่ดีที่สุดที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยให้มากที่สุด อันนี้เป็น เป้าหมายและความต้องการของรัฐบาลที่พยายามจะดำเนินการเพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญที่มี ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเพื่อให้เราสามารถที่จะใช้กฎกติกาใหม่ สามารถจะ ดำเนินการในครั้งต่อไปได้ เพราะฉะนั้นเราตั้งใจว่าภายใน ๔ ปีนี้จะสำเร็จพร้อมกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญทุกฉบับ แล้วก็พร้อมจะมีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน ๔ ปีนี้ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ จะใช้กฎหมายใหม่ แล้วก็ข้อบังคับใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งหมดเพื่อให้มันเดินหน้าต่อไปได้ อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าเราได้มอง ได้คุย แล้วก็ได้หารือกัน คิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญก็คือเราเสนอให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเว้นหมวด ๑ หมวด ๒ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ แล้วก็พระราชอำนาจที่เกี่ยวข้องอยู่ในมาตราต่าง ๆ เราคิดว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในสังคมก็ไม่ควรจะต้องไปแตะต้อง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือไปพิจารณากฎ ข้อบังคับในรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด ให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้นที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือกัน ทีนี้ทำไมถึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จริง ๆ อยู่ในกระบวนการการเริ่มต้นทำประชามติใหม่ การทำประชามติใหม่ไม่ใช่รัฐบาลมีมติให้ทำประชามติแล้วก็ไปดำเนินการได้เลย มันมีขั้นตอน มีกระบวนการตามกฎหมาย แต่ว่าเพื่อความรอบคอบไม่ให้มีปัญหาอย่างที่ได้เรียนไปแล้ว เราจึงเสนอว่าให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนให้เต็มที่มากขึ้น ทำให้มากที่สุดเท่าที่ จะมากได้ เพราะฉะนั้นในการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาผมจึงได้พยายามรวบรวม พรรคการเมืองเกือบทุกพรรค ยกเว้นพรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งถ้าเอามามันก็จะจำนวน มากเกินไป แล้วก็มติคณะกรรมการที่จะเกิดขึ้นมันก็จะมีจำนวนมากเกินไป เราก็คิดว่า คณะกรรมการชุดนี้จะต้องเชิญประชุมพรรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาความเห็นของทุกพรรค ไม่ว่าเป็นพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน ก็เสียดายที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เข้าร่วม แต่ผม ก็เคารพในเหตุผลของพรรคก้าวไกล เพราะว่าได้กันที่นั่งไว้ ๑ ที่นั่ง แต่ว่า ถึงแม้จะยัง ไม่ได้เข้าร่วมในตรงนี้ ผมก็ได้เรียนกับสื่อมวลชนไปว่าก็ไม่เป็นอะไร ไม่ได้ทำให้การแก้ไข รัฐธรรมนูญนี้ดำเนินการแล้วจะเกิดความสะดุดหยุดลง แต่เราก็จะพยายามกำหนด ในแผนการว่าจะคุยกับท่านต่อไปในอนาคตนะครับ เพราะฉะนั้นโดย Timeline ผมเรียนว่า เรามีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือเราไม่มีเรื่องนี้แล้ว เราก็จะพยายามทำทุกอย่าง ให้มันเสร็จโดยพยายามแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย อันนี้ก็เป็นจุดประสงค์และเป็น จุดสำคัญ ส่วนคำถามที่ว่าเราจะถามอะไรหรือคำถามนี้มีอะไรบ้าง ผมคิดว่าส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็คือกระบวนการแก้ไขจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรเป็นอย่างไร อันนี้ก็คือมันยังมี ความเห็นต่างกันอยู่บ้าง แต่เราก็ยืนยันว่าในฐานะรัฐบาลเราก็เคยมีส่วนคิดว่ามันควรจะเป็น กระบวนการที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากที่สุดไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เราก็ยังยอมรับว่าให้มีการพยายามทำ สสร. ตามที่มีความเห็นได้ศึกษาได้อะไรมา แล้วความเห็น ที่ศึกษามาแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่าง เราก็จะนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นข้อที่ช่วยในการที่จะ พิจารณาด้วยเหมือนกัน ไม่ได้ทอดทิ้ง

    อ่านในการประชุม

  • ประเด็นที่ ๓ หากมีกระบวนการทำประชามติเพื่อทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในกรณีต่าง ๆ จะต้องมีการทำประชามติกี่ครั้ง อันนี้ก็เป็นโจทย์คำถามที่เราอยากทำให้มัน เกิดความชัดเจน ๒ ครั้งได้ดีที่สุด เพราะว่าเริ่มต้นลงประชามติว่าจะเปลี่ยนแปลงตามที่ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการวินิจฉัยไว้ และมีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็จะทำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ต้องไปผ่านพรรคฝ่ายค้าน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ และผ่าน สว. อีก ๑ ใน ๓ ก็เป็นกระบวนการ เราอยากให้รัฐธรรมนูญสำเร็จครับ เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่จะคุยกับฝ่ายค้านคุยกับ พรรครัฐบาล คุยกับ สว. เพื่อให้ทั้งหมดได้ประสบความสำเร็จได้ แม้ว่ากระบวนการ โดยตรงอาจจะไม่มี ก็ขอชี้แจงขั้นต้นแค่นี้ครับ กราบขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ผมได้รับฟังจาก ท่านผู้ทรงเกียรติในการตั้งคำถามครั้งที่ ๒ ผมอยากแสดงความคิดเห็นซึ่งอาจจะแตกต่างกัน บ้างนิดหน่อย การที่บอกว่าเรากำลังทำนี้เป็นการติดกระดุมเม็ดแรกที่ผิดแล้วจะทำให้ ทุกอย่างเสียหาย ผมกราบเรียนท่านว่าเราก็คิดเหมือนกัน แล้วเราก็ถือว่าสิ่งที่เรากำลังทำนี้ คือการติดกระดุมเม็ดแรกที่ถูก เพราะกระดุมเม็ดแรกนี้เป็นกระดุมที่พยายามดึงทุกส่วน มายืนยันอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็ยังได้พูดถึงเมื่อสักครู่นี้ว่าครั้งที่ ๑ สรุปไปแล้ว เป็นมติแล้ว ครั้งที่ ๒ ก็มีการปรับแก้ไขอีก ครั้งที่ ๓ ก็ยังมีการปรับบางส่วน ครั้งที่ ๔ ก็ยังไม่ผ่าน เพราะฉะนั้น มันแสดงว่าเรายังไม่ได้หาจุดสรุปที่ชัดเจน การติดกระดุมเม็ดแรกของเราคือการที่ตั้ง คณะกรรมการมาพยายามที่จะรับฟังจากทุกส่วนอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะสรุปซึ่งไม่ได้ใช้เวลามาก ผมวางไว้ว่าประมาณ ๓ เดือน ซึ่งจะหารือกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง

    อ่านในการประชุม

  • ประเด็นที่ ๒ ที่ท่านพูดถึงว่าจะรับปากได้ไหมว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้เป็น ตรายาง ผมรับรองด้วยเกียรติครับ แล้วผมคิดว่าท่านต้องให้เกียรติกับผู้ที่ได้เข้ามาอยู่ในนี้ซึ่งเป็น ตัวแทนจากหลายส่วน แล้วล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นทั้งอดีต กกต. อดีตคณบดี อดีตนักวิชาการต่าง ๆ ผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ แล้วก็ผู้แทนวิชาชีพต่าง ๆ ทุกคนเข้ามาเพื่อที่จะมา ดูว่าในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแล้วก็รายละเอียดเกี่ยวกับ เขาอย่างไร ผมอยากให้ท่านมองภาพให้มันกว้างขึ้น ยอมรับในความเห็นที่แตกต่างกัน ผมคิดว่าการที่จะบอกว่าให้เรารับรองสิ่งที่ท่านคิดเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ ผมคิดว่า มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ควรรับหลักการก็คือวันนี้เราจะทำรัฐธรรมนูญให้มี ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ ๒ ข้อที่พรรคก้าวไกลเสนอ สิ่งที่ เรากำลังทำขณะนี้คือเราอยากได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เราอยู่ในสภามันต้องมีการตกลงทำความเข้าใจ เราต่างมาต่างทิศ ต่างมาต่างวิชาชีพ ต่างมาจากทุกส่วน การที่ทำให้ทุกส่วนมาคุยกันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำการแก้ไขอุปสรรค ที่เป็นปัญหาของประเทศโดยไม่สร้างความขัดแย้งใหม่ ผมเสียใจนิดเดียวที่พรรคก้าวไกล เอาตัวออกไปจากคณะกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น ผมว่าไม่ควรมองอะไรที่แง่ร้ายเกินไป สิ่งที่ เรากำลังจะทำนั้นเราคือกำลังจะเริ่มต้น ถ้าทำใจกว้างนิดหนึ่งแล้วเข้ามาผมว่าเราจะคุยกันได้ ในเวทีที่จะปรึกษาหารือกัน คณะกรรมการชุดนี้ที่ให้เข้ามาเพื่อที่จะได้ดูว่ามันโปร่งใส มันตัดสินใจเป็นอย่างที่ท่านต้องระมัดระวังหรือกังวลใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการเข้ามา น่าจะดีกว่าข้างนอก แต่อย่างไรก็ตามเราก็ไม่ขัดข้องอะไรนะครับ เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่าน ยังไม่เข้ามา ในคณะกรรมการชุดนี้เราได้ดำริขั้นต้น ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าเราก็ยัง จะเชิญพรรคของท่านหรือพรรคเล็กและพรรคน้อยอีกหลาย ๆ พรรคเข้ามาดู มาหารือ แล้วการทำงานครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะกรรมการที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เรายังจะเปิดเวทีให้สื่อมวลชน หรือองค์กรของรัฐทั้งหมดเปิดช่องทางให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นก่อน ช้าไปแค่ ๓ เดือน แต่ได้ความเห็นของคนที่กว้างขวางขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่านะครับ ผมคิดว่าถ้าเรา สรุปจากของเราแล้วก็ยึดมั่น ถ้าพรรคก้าวไกลบอกว่าทำไมไม่ยืนตามพรรคก้าวไกลที่วาง แล้วก็พรรคอื่น ๆ เขาบอกว่าทำไมไม่ยืนตามพรรคเสนอ มันก็เป็นความขัดแย้งที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นการหาจุดร่วมกันที่ดีแล้วก็พยายามผลักดันให้มันเกิดขึ้นน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด นั่นคือกระดุมเม็ดแรกของเรา เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะทำเพื่อให้ได้ผล แล้วก็ ๔ ปีนี้ต้องจบ แล้วการจบนั้นคือจบให้รัฐธรรมนูญมันผ่าน ไม่ใช่เพียงแค่เสนอให้พิจารณาแล้วก็ตกไป เหมือนอย่างอดีตที่ผ่าน ๆ มา ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • ท่านประธานสภาที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ต้องกราบขอบพระคุณ ในความห่วงใยซึ่งอยากจะเห็นรัฐธรรมนูญนี้มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด แล้วก็เพื่อจะ ตอบสนองผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติมากที่สุด ต้องกราบเรียนอย่างนี้ว่า คณะรัฐมนตรีก็มีจุดมุ่งหมายพยายามจะให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ร่างโดยกระบวนการ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด แต่ผมคิดว่าเรายืนยันตรงนี้ได้เป็นความปรารถนาของรัฐบาล แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ผมว่ากระดุมเม็ดแรกที่เราติดนี่ก็คือการดึงความมีส่วนร่วม ของทุก ๆ ฝ่าย และผมคิดว่าทุกวิชาชีพที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเวทีที่เราจะเปิดกับเกษตรกร ทั้งหมด Deal ตัวแทนทุกกลุ่ม เวทีของสื่อมวลชนซึ่งเป็นทั้งสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชน เพื่อสังคมประเทศไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุ และโทรทัศน์ไทย และอีกหลาย ๆ ส่วน แล้วเราเปิดที่จะคุยกับทางกลุ่มวิชาการ กลุ่มเยาวชน ทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้ถ้ายืนยันตรงนี้มันจะยิ่งหนักแน่นขึ้นว่าเราจะเดินหน้านี้ เราก็พร้อมจะ เดินหน้า เรียนยืนยันท่านว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เราตั้งใจและจะทำนี่เราจะทำให้ดีที่สุด เป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุดให้ประชาชนมีส่วนร่วมที่สุด แล้วก็จะให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่าน การพิจารณาจากข้อบังคับตามกฎหมายทั้งหมด เพื่อให้มันสามารถเริ่มต้นการทำให้ประเทศ หลุดพ้นจากกรอบประชาธิปไตย กรอบของรัฐธรรมนูญฉบับเก่า ๆ ที่สร้างปัญหามา เพราะฉะนั้นอันนี้เรียนยืนยันท่านว่าเราจะทำ แล้วก็ฝากให้ท่านช่วยพิจารณา ถ้าท่านไม่ได้ เข้ามาก็ฝากท่านนำเสนอด้วย เพราะเราก็จะไปฟังจากทุกท่าน แล้วนี่คือการฟังจากทุกส่วน อย่างแท้จริง ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ กราบเรียนท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ก็ต้องขอขอบคุณที่ท่านสมาชิกมีความห่วงใยในชีวิตของเกษตรกร ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อ ประเทศชาติ เป็นคนที่เป็นกระดูกสันหลัง เป็นคนที่อยู่เบื้องต้นในการที่จะทำให้เกิดความ มั่นคงทางอาหาร แล้วก็ทำให้ประชากรของประเทศไทยเรามีอาหารหล่อเลี้ยงได้ดียิ่งขึ้น แต่อย่างที่ท่านเรียนครับ ความห่วงใยของท่านนั้น รัฐบาลเราเองก็ตระหนักว่าเราจำเป็น ที่จะต้องดูแลเกษตรกรอย่างใกล้ชิด แล้วปัญหาที่ท่านถามนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมา อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่เราได้พบกัน แล้วเราก็ได้มีการดำเนินการในการแก้ไขที่ผ่านมา อย่างนี้หลายเรื่องหลายครั้ง รัฐบาลนี้เพิ่งเข้ามา ๓ เดือนนะครับ เข้ามาถึงเจอสภาพที่เกิดขึ้น อย่างที่ท่านได้กล่าวมาข้างต้น แต่ก็โชคดีสิ่งที่ท่านถามมานี้เป็นความห่วงใยตั้งแต่มันเกิด ปัญหา ท่านเอาใจใส่กับสิ่งที่เกษตรกรเป็น แต่ว่าขณะนี้มันคลี่คลายมาผมก็จะตอบในสิ่งที่ได้ ดำเนินการไปให้เกิดมีความชัดเจนขึ้นเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นมันก็จะสามารถชี้แจง แล้วก็ ให้ความเห็นอย่างเป็นรูปธรรมกับท่านได้นะครับ ก็ต้องกราบเรียนว่าคำถามที่ท่านถาม นายกรัฐมนตรีไปว่ารัฐบาลมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำหรือไม่ อย่างไร อยากทราบรายละเอียด ผมกราบเรียนชี้แจงผ่านท่านประธานสภาไปยังสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ก็คือว่า รัฐบาลเราได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเมื่อเราทราบปัญหา เข้ามาถึงเรารับรู้ว่า เกษตรกรกำลังมีปัญหา มีความทุกข์ร้อนอย่างหนัก ส่วนหนึ่งเราได้รับทราบโดยตรงจาก ผู้แทนราษฎรในรัฐสภาแห่งนี้ โดยเฉพาะผมที่ได้มีโอกาสคุยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ พรรคเพื่อไทยซึ่งอยู่ในพรรคเดียวกัน ก็ได้รับทราบปัญหาอย่างเร่งด่วน ถูกถามในที่ประชุม พรรคตลอดเวลา ผมกราบเรียนท่านอย่างนี้ครับว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน แล้วก็ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน เรารับรู้ปัญหา เราได้ไปคุยกันใน ครม. แล้วเราก็ได้มีมติเหล่านี้ เพื่อเห็นชอบของมาตรการการรักษา เสถียรภาพราคาข้าว การผลิตในปี ๒๕๖๖-๒๕๖๗ จำนวน ๔ โครงการด้วยกัน เพื่อจะช่วยดึง อุปทานช่วงออกสู่ตลาดมาก ๆ มีข้าวออกสู่ตลาดประมาณ ๘ ล้านตัน ตามที่คณะกรรมการ นโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติเสนอ มาตรการแรกที่เราไปดำเนินการทั้ง ๘ ล้านตันนี้ เราทำโครงการ ๔ โครงการ โครงการแรก ก็คือการดำเนินการให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง ข้าวมันล้นตลาด ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ เราก็พยายามจะดูดซับตัวข้าวทั้งหมดได้เข้ามาเพื่อทำ ให้พยุงราคาข้าว ให้รักษาเสถียรภาพราคาข้าว ดุลยภาพราคาข้าว ให้อยู่ในดุลที่เหมาะสม หรือถูกต้อง เราดำเนินการให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง หรือฝากไว้ที่สหกรณ์ในช่วงหนึ่ง ๑-๕ เดือน สำหรับเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองเอาไปเก็บ ๑ ตัน เราให้รถ ๑,๕๐๐ บาท ส่วนเกษตรกรรายเล็ก ซึ่งเป็นคนตัวเล็กในสังคม ไม่มียุ้งฉางของตัวเองจะเก็บ เราได้ ประสานงานกับสหกรณ์การเกษตร ซึ่งก็เป็นตัวแทนของเกษตรกรที่มีอยู่เกือบทั่วประเทศ ตัวสหกรณ์เกษตรเหล่านี้เราก็พยายามจะไปดูให้เป็นสหกรณ์การเกษตรที่มีความแข็งแรง ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ก็พยายามจะส่งเสริมตรงนั้นมา ส่วนสหกรณ์การเกษตร อีกหลายส่วนเราก็ได้ให้ราชการลงไปตรวจสอบ แล้วก็ลงไปเข้มงวดเพื่อให้ทำหน้าที่ได้ อย่างเต็มที่เพื่อจะเปิดตลาดเพื่อจะรองรับเกษตรกรรายเล็กรายน้อย เราก็ได้ดำเนินการไป โดยคำนึงถึงความเป็นจริงครับ เกษตรกรรายน้อยที่ไม่มียุ้งฉางของตัวเองเอาไปฝากที่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตรก็ได้ ๑,๐๐๐ บาทต่อตัน ตัวเกษตรกร ก็ได้ ๕๐๐ บาท ต่อตัน อันนี้ก็เป็นการทำให้การเก็บยุ้งฉางเพื่อดูดซับข้าวเข้ามาอยู่ในยุ้งฉางเพื่อทำให้พยุง ราคาข้าวได้ไปอย่างทั่วถึง แล้วตัวสหกรณ์การเกษตรเข้ามาร่วมดำเนินการนี้ก็สามารถที่จะ ดำเนินการได้โดยช่วยคนตัวเล็ก ๆ ที่เป็นเกษตรกรรายย่อย เพราะฉะนั้นในสิ่งที่เราได้ ดำเนินการไปแล้วในเวลาช่วง ๑-๕ เดือนเราก็ได้ดำเนินการไปอย่างประสบผลนะครับ สหกรณ์การเกษตรก่อนที่จะเข้ามาหรือฝากไว้ที่สหกรณ์นี้เราช่วยค่าดอกเบี้ย ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ ตัวสหกรณ์การเกษตรจ่ายเองแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนี้รัฐดูดซับช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น ฟังก์ชันของสหกรณ์การเกษตรก็สามารถดูแลได้โดยเราให้เวลา ๑๕ เดือน ก็จะสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นเราก็สนใจทั้งสภาพปัญหา แล้วก็หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะมาช่วยเหลือ แล้วเรา ก็พยายามดูแลให้มันครบวงจร

    อ่านในการประชุม

  • อีกส่วนหนึ่งก็คือโรงสี โรงสีที่สามารถมีเงื่อนไขในการเก็บ Stock สินค้า เหล่านี้ได้เราก็ช่วย ค่าดอกเบี้ย ๔ เปอร์เซ็นต์ในเวลา ๒-๖ เดือน เพราะว่าโรงสีก็สามารถ เข้ามาช่วยเหลือได้ เราก็สามารถใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธ.ก.ส. เพื่อจะใช้เงินนี้มาใช้ในช่วงหมุนเวียนในการดูแลพี่น้องเกษตรกรนะครับ

    อ่านในการประชุม

  • ส่วนประเด็นสุดท้าย เราได้ช่วยชาวบ้านเขาเรียกว่า ค่าเก็บเกี่ยวดูแล เกษตรกรที่ดำเนินงาน เนื่องจากว่าต้นทุนการผลิตต่ำอย่างที่ท่านสมาชิกได้กล่าวถึง ก็เข้าไปดู แล้วก็ช่วยเหลือในเรื่องของต้นทุน จริง ๆ ก่อนหน้านี้เราได้มีการพยายามไปหาราคาปุ๋ย ไปหาปุ๋ยมาตอบแทน มาให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ผ่านสหกรณ์การเกษตรอยู่บ้าง ซึ่งก็จะ สามารถแก้ไขปัญหาได้ไปบางส่วน แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงบางส่วนก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะใช้ ดำเนินการแบบนี้นะครับ เราก็ช่วยในการที่จะให้เกษตรกรต่าง ๆ ได้ค่าเก็บเกี่ยว ค่าบริหาร จัดการ เรียกว่าค่าบริหารจัดการไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท โดยไม่เกิน ๒๐ ไร่ เพราะฉะนั้นเกษตรกรที่มีการทำนาใน ๒๐ ไร่ โดยประมาณ เกินจากนี้ไม่ได้ ก็จะให้ ๒๐,๐๐๐ บาท ทั้งหมดนี้คือมาตรการ ๔ มาตรการที่เราดูแลเกษตรกรนะครับ แล้วก็ช่วยทำ ให้เกษตรกรนี้สามารถที่จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็กังวลใจอยู่ว่า ในการดูแล เกษตรกรต้องใช้เงินมาช่วย Subsidize จำนวนมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้า เกษตรต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องดูแลเกษตรกร เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหานี้ที่จะถาวร มากยิ่งขึ้น ๑. ก็คือการปรับปรุงการผลิต โดยที่เราเองเรามีนโยบายอยู่แล้วที่จะดำเนินการให้ ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ หรือเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้ตรวจสอบ ได้มีการวิจัยแล้ว เพื่อจะเปลี่ยนแปลง การผลิตของเกษตรกรเพื่อให้อยู่ในการดำเนินการผลิตของเขาได้ต่อไร่ มีจำนวนที่มากขึ้น ปัจจุบันเราอาจจะได้ข้าวหอมมะลิก็ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ต่อไร่ ขณะที่เพื่อนบ้าน เขาไปไกลแล้ว ได้ ๖๐๐-๗๐๐ ต่อไร่ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ของไทยเราเองที่ผ่านมาเราไม่ได้ดำเนินการทางนี้เต็มที่มากเพียงพอ เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ ก็มีความพยายามที่จะปรับปรุงการผลิต เปลี่ยนแปลงเมล็ดพันธุ์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ สามารถทำการผลิตแล้วก็ได้ผลต่อไร่มากขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็จะช่วยให้ชาวนามีปริมาณ ข้าวที่มากขึ้นก็ทำให้ต้นทุนทางการผลิตก็ลดลงนะครับ สิ่งนี้ได้พูดไปแล้ว ถ้าสมมุติว่า ในปีหน้าเราเชิญชวนให้เกษตรกรเข้ามาร่วมในการลงทะเบียนที่จะปรับเปลี่ยนการผลิต ถ้าเกิดการปรับเปลี่ยนการผลิตได้อย่างที่เราเป็นแล้วก็สามารถที่จะเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามาได้มีการเปลี่ยนแปลง อย่างที่เราบอกว่าหาตลาดให้ เปลี่ยนแปลงนวัตกรรม เพิ่มเอา เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต สิ่งนี้ก็จะเกิดดีขึ้นนะครับ ผมก็จะกราบเรียนท่านว่าขณะนี้ เราได้เปลี่ยนแปลงอย่างนี้แล้ว แล้วก็เชิญชวนเกษตรกรมาเข้าสู่กระบวนการที่จะปรับปรุง แก้ไข โดยเราเชื่อมั่นว่าการปรับปรุงแก้ไขนั้นจะเกิดผลที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามหากดำเนินการ ตามนี้แล้วยังได้ผลไม่ถึงเป้าหมาย ในส่วนของรัฐที่จะต้อง Subsidize ดูแลเกษตรก็คงยังต้อง ทำต่อไป แต่ว่ามันก็จะมีปริมาณการจัดการตรงนี้น้อยลง ปีนี้ที่เราใช้ในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและดูแลเกษตรกรนี้เราใช้เงินไปเฉพาะแค่เก็บเกี่ยวของเกษตรกรก็ ๕๖,๐๐๐ กว่าล้านบาท รวมทั้งหมดแล้วก็ประมาณ ๖๗,๗๐๓.๐๓ ล้านบาท ทั้งหมดนี้ ก็คือการดูแลข้าว เป้าหมายทั้งหมด ๘ ล้านตันให้อยู่ในความสามารถที่จะสร้างความสมดุล ให้เกิดขึ้น สามารถที่จะดูดซับมา แล้วก็พยุงราคาต่อไป ส่วนรายที่ยังเล็กน้อยหรือมีจำนวน ไม่มากนัก แต่ว่าก็ประสบปัญหาที่มากแล้วก็ดูแล เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเราเพิ่งกดเงินผ่านเข้า บัญชีของเกษตรกรโดยตรง โดยมี ธ.ก.ส. เข้ามามีส่วนช่วยเอาเงินมาให้เกษตรกรได้หมุนเวียน เพื่อจะแก้ปัญหา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ได้ดำเนินการไปครบถ้วนทุกจังหวัดในประเทศไทยแล้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสำหรับปีนี้เราได้มีส่วนแก้ไขปัญหาแล้วก็พยายามจะประคับประคองให้ ชาวนา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชาติได้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขมากที่สุด แล้วก็เรา กำลังจะปรับปรุงการผลิตกับเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการหลาย ๆ อย่าง แล้วผมเชื่อว่าด้วย ความตั้งใจที่ดีแล้วก็มองเห็นแบบเกษตรกรคือความสำคัญของประเทศ เราจะสามารถ แก้ไขตรงนี้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีได้มากยิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาเรื่องราคาข้าวสารแพง ข้าวเปลือกถูก ให้มันเข้าสู่สมดุลมากขึ้นครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบขอบพระคุณครับ กราบเรียนท่านประธานครับ สมาชิกผู้ทรงเกียรตินะครับ สำหรับคำถามที่ ๒ กราบเรียนว่ารัฐบาลเองมีมาตรการในการเข้าไปตรวจสอบซื้อข้าวเปลือก และข้าวสาร มีมาตรการในการที่จะกำกับดูแลในเรื่องนี้นะครับ

    อ่านในการประชุม

  • ประเด็นแรก เรากำกับดูแลการรับซื้อข้าวเปลือกของผู้ประกอบการโรงสี และท่าข้าวต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เข้าไปดูว่าที่รับปากกับเราแล้วที่เรากำหนดเป็นนโยบายนั้น สามารถกระทำการได้อย่างที่ท่านสมาชิกหรือพี่น้องเกษตรกรมีความห่วงใยในเรื่องนี้ เราเข้า ไปตรวจครับ แล้วเราก็พบว่าตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ปี ๒๕๔๒ เราเข้าไปดูในที่ต่าง ๆ เรามีทั้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดที่จะต้องทำหน้าที่ในการดูแลพื้นที่ ต่าง ๆ เหล่านั้น แล้วก็โดยส่วนกลางของกรมการค้าภายในซึ่งดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้เราก็ส่ง ทีมปฏิบัติการพิเศษในการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียนมา เราก็พบ การกระทำที่มีความผิดเหมือนกัน ผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกมีการคิดค่าชั่งน้ำหนัก จากเกษตรกรเราพบอยู่ ๓ ราย ใน ๓ รายนี้เป็นการพบที่กรณีท่าข้าวจังหวัดอ่างทอง เราก็พบว่ามีการเรียกเก็บค่าชั่งน้ำหนักข้าวของเกษตรกรมากขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เราได้ ดำเนินการแล้วก็ได้นำไปสู่การฟ้องร้องคดี ซึ่งขณะนี้ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว อันนี้พบไป ๓ รายที่ดำเนินการ ขณะเดียวกันในระหว่างที่ยังอยู่ในกระบวนการนี้อยู่เราก็ ได้มีการสั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมีความเข้มข้นในการที่จะลงไปตรวจสอบแล้วก็ ติดตามอย่างใกล้ชิด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงพาณิชย์ที่อยู่ใน จังหวัดอยู่แล้ว แล้วเขาก็พอทราบการเคลื่อนไหวในมุมมองต่าง ๆ ก็ลงไปดำเนินการ ก็ต้อง กราบเรียนว่าที่ผ่านมาเขายังมีปัญหาอยู่เหมือนกันที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในบางจุด บางพื้นที่ไม่สามารถกระทำหรือดำเนินการเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นนโยบายของกระทรวง พาณิชย์ได้เข้มข้นมากเพียงพอ ซึ่งเราก็ได้มีการประชุมแล้วก็กำชับไปแล้วว่าสำนักงาน พาณิชย์จังหวัดต้องเป็นหัวหอกในการที่จะดูแลราคาพืชผลของเกษตรกรไม่เพียงแค่ข้าว ยังเป็นพืชผักหรือผลไม้ตัวอื่น ๆ อีก เพราะฉะนั้นวันนี้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในส่วนของ กระทรวงพาณิชย์ก็มีการปรับกระบวนการทำงาน ปรับวิธีการทำงานหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งผมคิด ว่าที่ผ่านมาหลังจากการตรวจสอบครั้งสุดท้ายนี้เราก็พบว่ามีลักษณะการทำงานที่เข้มข้น เข้มแข็งมากขึ้น แล้วก็ยังได้ให้เขามีโอกาสในการที่จะประสานกับทูตพาณิชย์ที่อยู่ใน ๖๖ ประเทศ ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะเชื่อมโยงกันแล้วก็จะหาทางแก้ไขปัญหาของพี่น้อง ประชาชนได้เป็นอย่างดีนะครับ วันนี้ก็ดำเนินการในเรื่องนี้ตรวจสอบเข้มข้น ก็กราบเรียน ท่านให้ท่านสบายใจได้ว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากเราวางมาตรการแล้วเราก็ได้กำชับ ให้ส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องออกไปตรวจสอบดำเนินการ แต่เท่าที่พบก็คิดว่ายังไม่มาก แต่ว่า กราบเรียนท่านว่าปัญหาราคาสินค้าต่าง ๆ มันมีปัญหา ซึ่งเราก็พยายามดูแลอย่างทั่วถึง ภาพเฉลี่ยโดยรวมขณะนี้ข้าวเปลือกปรับเพิ่มจากปีก่อนถึงประมาณ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ผมเข้าใจ ว่าสิ่งที่ท่านเสนอคงเป็นช่วงแรกของการดำเนินการ แต่หลังจากการที่มีกระบวนการต่าง ๆ ในการดูแลเข้มข้นและเข้มงวดมากขึ้น สิ่งต่าง ๆ นี้ก็ปรับเข้ามาอยู่ในมาตรฐานที่ค่อนข้าง เหมือนกัน อาจจะมีบางส่วนบางจุดที่ยังเป็นปัญหา ซึ่งผมก็รับไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้กำชับให้ ผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ลงไปกำกับดูแลแล้วก็ดำเนินการให้ดีที่สุด

    อ่านในการประชุม

  • อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของการติดตาม กำกับ ดูแลเครื่องชั่งตวงวัดทั่วทั้ง ประเทศ ซึ่งทั้งประเทศก็มีอยู่ประมาณ ๑,๗๓๕ เครื่อง ก็ไปดำเนินการดูว่ามีการตรวจ เครื่องวัดความชื้นข้าวทั่วประเทศในการให้ความยุติธรรมกับชาวนาหรือไม่ เราลงไปตรวจ ก็ยังพบว่าเรามีจำนวนการตรวจเครื่องวัดความชื้นมีความผิดอยู่ ๑๖ เครื่องด้วยกัน พบที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ๒ เครื่อง พบที่จังหวัดร้อยเอ็ด ๔ เครื่อง พบที่จังหวัดน่าน ๔ เครื่อง พบที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ๓ เครื่อง พบที่จังหวัดแพร่ ๒ เครื่อง และพบที่จังหวัดเพชรบุรี ๑ เครื่อง ก็พยายามที่จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตรวจสอบเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและ ความเป็นธรรมกับพี่น้องเกษตรกรมากที่สุด ในการตรวจวัดเหล่านี้เราก็ได้ดำเนินการเอามาดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ปัญหามันเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน วันนี้มาเป็นรัฐบาลเรามีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าเป้าหมาย ของเราอยู่ที่เกษตรกร แล้วก็ผู้บริโภคชาวไทยทั้งหมด เพราะฉะนั้นการจะดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้ก็พยายามจะแก้ไขอย่างดียิ่ง

    อ่านในการประชุม

  • ส่วนปัญหาเรื่องราคาข้าวสาร ข้าวถุงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ยังมีความแตกต่างกัน นี่ก็เป็นประเด็นที่เป็นเป้าหมายเราในการดำเนินการ แต่ครั้งนี้เราเข้ามาในระยะรอยต่อ แล้วก็การดำเนินการผ่านช่วงไปแล้ว อย่างไรก็ดีคิดว่าปีหน้าผมได้หารือกับผู้บริหารกระทรวง พาณิชย์แล้วว่าเราจะวางแผนตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ฤดูกาลพืชผลต่าง ๆ จะออกมาควรจะต้องมี การดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็ได้มีการประมาณการว่าข้าวของผลิตปีนั้นมีจำนวนมากน้อย เท่าไร มีภูมิอากาศที่จะเป็นผลกระทบต่อการปลูกข้าว ต่อการได้ผลผลิตของพี่น้องเกษตรกร เท่าไร แล้วก็ให้วางแผนแต่เนิ่น ๆ ถ้ามากเกินไปเราก็จะดูดซับนะครับ ใช้กลไกต่าง ๆ ดูดซับ เพื่อจะประคองเสถียรภาพราคาให้เต็มที่ ถ้าน้อยราคาดีเราก็ต้องหาทางดูว่าจะแก้ไข สถานะการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ตรงนี้จะเป็นแผนระยะยาว เราไม่อยากเห็น การเกิดขึ้นแล้วก็ไปวิ่งตามปัญหา แล้วก็คอยแก้ปัญหาที่มันเกิดจากปลายเหตุเหมือนอย่าง ทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปเรามั่นใจแล้วเราตั้งใจว่าเราจะทำงาน ในเชิงรุก เพื่อจะหาทางออกและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรอย่างดีที่สุด ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • เรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ขอบพระคุณครับ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วต้อง ขอบคุณท่านพลากรที่เป็นห่วงใยเกษตรกร รัฐบาลก็ให้ความมั่นใจท่านว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราติดตามใกล้ชิดและจะไม่ปล่อยให้มันเป็นปัญหา แล้วก็หวังว่าท่านได้พบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนเป็นตัวแทนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ท่านได้พบและห่วงใย ในปัญหาที่เกิดขึ้น ท่านนำมาสะท้อนมาเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราทั้งหมดเราพร้อมที่จะ รับฟังแล้วก็นำไปแก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งครับ สวัสดีครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ คำถามว่าจะ ทบทวนหรือไม่ แต่ว่าก่อนจะตอบคำถามนี้ผมอยากจะทำความเข้าใจในประเด็นที่ท่าน ผู้นำฝ่ายค้านได้พูดและอภิปรายเล่าสู่กันฟังนะครับ ที่บอกว่าเรากลัวเรื่องที่จะไปทำให้มันเกิด ความขัดแย้งใหม่ หรือความกังวลใจของท่านที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็เป็นความกังวลใจที่เราไม่ได้ แตกต่างกัน เพียงแต่มุมมองของความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นนี้อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ประเด็นที่ท่านผู้นำฝ่ายค้านได้พูดมา จริง ๆ ไม่ใช่วันนี้เป็นวันแรก ท่านก็พูดมาหลายครั้งแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์จำเป็นต้องเท้าความนิดหนึ่ง ปัญหามันเกิดขึ้นก็คือเราต้องการ แก้รัฐธรรมนูญ เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งหลายเรื่อง แล้วก็ทำให้มัน เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดหลุมดำในประเทศ เพราะความขัดแย้งนั้นทำให้ประเทศเสียหายมาก ทุกคนประจักษ์ ชัดเจน รับรู้ได้ แต่การแก้รัฐธรรมนูญนี้เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย พวกเราเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วนะครับ ท่านคงจำได้ว่าการยื่นแก้ไข รัฐธรรมนูญนี้เรายื่นมาหลายครั้งหลายวิธี แล้วทุกครั้งก็ไม่เคยผ่านได้ ไม่เคยแก้ไขได้ แม้กระทั่งครั้งสุดท้ายที่เรายื่นฝ่ายรัฐบาลเขาก็ไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ ฝ่ายค้านทั้งหมดเรา ก็ไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ ยกเว้นพรรคก้าวไกลที่ไม่ร่วมลงชื่อ ซึ่งมีความเห็นต่าง ซึ่งอันนี้ ผมก็เคารพในความคิดเห็นของท่าน เสร็จแล้วผลมันก็ออกมาชัดเจน ผ่านไปได้วาระสอง เสร็จแล้วมันก็ไม่ผ่าน มันก็ตกไปอีก รัฐบาลที่แล้วเรายื่นมากกว่า ๖-๗ ครั้งผมจำตัวเลขไม่ได้ ต้องขออภัย ก็ตกทุกครั้งไม่ว่าจะยื่นรายมาตรา ยื่นแก้อะไรต่าง ๆ ก็ตามนี้มันก็ไม่ผ่านทุกครั้ง สิ่งที่สำคัญในขณะนี้ก็คือว่าเราอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ความขัดแย้งเห็นเหมือนกันเลย อยากแก้ให้มันหมดไป และอยากแก้ให้เดินหน้าให้ได้ เราเห็นว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เป็นปัญหา ซึ่งก็เห็น เหมือนกันกับท่านว่าเป็นปัญหา ท่านเห็นว่าไม่ควรจะมาสนใจเรื่องนี้เดี๋ยวกลัวจะมีปัญหา แต่ท่านต้องดูความจริงครับ ความเป็นจริงมันบอกเรามาทุกครั้ง ก่อนตั้งรัฐบาลนี้ก็เห็น นะครับ ทุกพรรคการเมืองเขาก็บอกว่าเขาไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ อันนี้จึงเป็นเหตุที่เขา ไม่สามารถร่วมมือกับพรรคท่านได้ พรรคเพื่อไทยก็พูดเรื่องนี้ชัดเจน เพราะเราเห็นจาก การกระทำครับ เราไม่ได้เห็นจากการคิดไป การกระทำมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ท่านจะร่วม รัฐบาลที่ประชุมก็ซักท่านในหมวด ๑ หมวด ๒ เรื่องเกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒ ตรงนี้มันเป็น ปัญหาจริง ๆ แล้วผมคิดว่าประเด็นสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญนี้ประเด็นที่จะให้มันเป็น ประชาธิปไตยมากขึ้น และให้มันสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้มากขึ้น ถ้าเราไม่ไป กังวลอยู่กับเรื่องนี้ แล้วเรายอมรับว่ามีคนอีกส่วนใหญ่ของประเทศเขาเป็นห่วงและกังวลใจ เรื่องนี้ ถ้าเราปล่อยข้ามประเด็นนี้ไปเดี๋ยวผมคิดว่าทางออกของสังคมจะไปได้ง่ายขึ้น พรรคเพื่อไทยคิดอย่างนี้มาตลอด แล้วพรรคเพื่อไทยก็ได้แถลงในฐานะเป็นรัฐบาล แถลงต่อ รัฐสภามาแล้วว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีโดยไม่แตะหมวด ๑ หมวด ๒ เราก็หาเสียง แบบนี้มา ที่ประชุมรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ยืนยัน แล้วก็ ตอบรับให้เราเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ดำเนินการ เพราะฉะนั้นขณะนี้เราก็กำลังดำเนินการ ตามนี้ทั้งหมด เป็นไปตามที่เราได้แถลงต่อสภา แล้วเราก็พยายามจะหลีกเลี่ยงประเด็นตรงนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ประเด็นนี้ถ้าเดินออกไปถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาแห่งนี้ รวมทั้ง วุฒิสภาด้วยเขาติดใจเรื่องนี้ครับ เขาติดใจเรื่องนี้แล้วมันจะทำให้เรื่องอื่น ๆ เราไม่ได้ สิ่งที่สำคัญขณะนี้คือเราอยากได้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น การไม่แตะหมวด ๑ หมวด ๒ นี้มันทำให้หลีกหนีจากปัญหาที่มันจะเกิดขึ้นซึ่งจะเป็นความขัดแย้งใหม่ เห็นเหมือนกับท่านเลยครับว่าอยากให้แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ผมก็เชิญชวนท่านมาแสวง จุดร่วมกัน ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ตกค้างมากอยู่ ถ้าท่านยอมละเว้น ปล่อยผ่านเรื่องนี้ ไปแล้วมาทำให้ทุกอย่างเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เท่าที่ผมถาม เท่าที่ออกไปสำรวจ เท่าที่ออกไปทำเสียงส่วนใหญ่ทั้งหมด กลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ เขาไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ ไม่ให้ มาแตะ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดนี้เป็นความเห็นที่แตกต่างจากท่าน จากพรรค การเมืองของท่านนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะชวนจริง ๆ ผมต้องเป็นคนชวนท่านครับ ชวนมา อยู่ร่วมกัน มาแสวงจุดร่วมกัน อย่าไปแตะเลยครับเรื่องนี้ มันเป็นความไม่สบายใจของคน ส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วมาคิดกันว่าจะทำให้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประชาธิปไตยได้มากอย่างไร ทำอย่างไรจะให้อำนาจของประชาชนสามารถทำอะไรได้มาก อย่าไปหมกมุ่นอยู่กับประเด็นเดียว ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญนี้จะเป็นประชาธิปไตยได้ ผมคุยกับทุกคนมาเขาบอกเขายินดีให้เป็น ประชาธิปไตยทั้งหมด อยากแก้อะไรที่สามารถแก้เขาจะมาร่วมแก้ด้วย เพราะเขาเห็น ปัญหาแล้ว ทำไมต้องแตะหมวด ๑ หมวด ๒ ละครับ ทำไมประเด็นปัญหานี้ท่านถึงกังวลใจ มากแล้วจะต้องหยิบเรื่องนี้มันเป็นประเด็นทุกครั้ง คนที่ทำให้เป็นประเด็นไม่ใช่ส่วนใหญ่ นะครับ เป็นประเด็นของพรรคท่านที่กังวลใจเรื่องนี้มากเกินไป ผมว่าถ้าท่านละเว้นเรื่องนี้ได้ ปัญหาจะได้รับการแก้ไข แล้วเราจะสามารถสถาปนารัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตย มากขึ้นได้ ก็อยากจะบอกท่านอย่างนี้ว่าที่ผ่านมา แล้วจนกระทั่งเป็นที่รับรู้ในปัจจุบันทุกคน ก็รับรู้ได้ว่ามีความปรารถนาจะเป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้น คณะทำงานที่ผมได้รับตั้งขึ้นมานี้ ผมไปถามมา ประชาชนทั้ง ๔ ภาค ภาคเหนือ ถามกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยซึ่งอาจจะเป็นคน ส่วนน้อยก็ถามความเห็นของเขา ภาคอีสานชาวนาทั้งหมด ภาคกลาง ภาคตะวันออกไปถาม ผู้ใช้แรงงาน ภาคใต้ไปถามคนภาคใต้และมุสลิมออกมาเหมือนกันว่าไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ และอยากได้ประชาธิปไตยมากขึ้น ถามรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ก็ตอบแบบนั้น คุยกันแบบนั้น วุฒิสภานี้ยิ่งชัดเจนว่าอะไรก็ได้ถ้าจะทำให้เป็นประชาธิปไตยจะช่วยคิดช่วยทำ อย่าไปแตะเลย หมวดนี้เป็นหมวดที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เขาเคารพนับถือ ก็อยากเชิญชวนให้ท่านใช้สติแล้วคิดอีกครั้งครับ ถ้าไม่สนใจเรื่องนี้แล้วมาทำรัฐธรรมนูญให้ เป็นประชาธิปไตย แก้ความขัดแย้งและแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนด้วยกันดีกว่าไหมครับ ฝากท่านเป็นข้อคิดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าท่านถามว่ารัฐบาลจะทบทวนไหม วันนี้เรื่องยังไม่ถึงรัฐบาลนะครับ เรื่องเป็น ของคณะทำงาน ซึ่งเราได้พูดกันชัดเจนแล้วก็แถลงต่อสภาแล้วว่าเราจะเอาตามเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนใหญ่ที่เราฟังมาก็คือเขาไม่เอาหมวด ๑ หมวด ๒ แต่ว่าเราเคารพเสียงที่ยังแตกต่างกัน เราบอกเราจะบันทึกให้ ชัดเจนนะครับว่าเราไม่ได้ขัดขวางหรือขัดแย้ง หรือพยายามไม่ให้ ความคิดของท่านได้รับการพิจารณา เราจะบันทึกความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ขณะนี้อยู่ใน ระหว่างที่สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังรวบรวมสรุป ผมก็คาดว่าถ้าตอบให้มันสบายไม่ต้องมา ถูกท้วงติงอีกว่าภายในไตรมาสแรกก็น่าจะทำได้ แต่ว่าเราพยายามจะให้เสร็จภายใน เดือนมกราคมนี้ ก็ยืนยันตรงนี้ได้นะครับ อันนี้เป็นเรื่องหนึ่ง เมื่อสักครู่นี้เห็นท่านพูดถึงเรื่อง สสร. ทำไมไม่ตั้งคำถาม ผมคิดว่าเราอยากตั้งคำถามให้ชัดเจน เพราะว่าครั้งที่แล้วหลังจาก ที่สภาไม่ผ่าน ก็มีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสิน ศาลรัฐธรรมนูญบอกชัดเจนนะครับว่า รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชามติของประชาชน เพราะฉะนั้น ถ้าจะจัดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ขอให้ไปหารือประชาชนก่อน รัฐธรรมนูญที่ประชาชนเขาลง ประชามติมานี้มันก็เป็นอย่างที่เห็น เนื้อหาก็เป็นอย่างที่เราบอกชัดเจน เพราะฉะนั้นตรงนี้ เราจึงได้เอาคำถามเดียวเพื่อให้มันเกิดความชัดเจนมากขึ้น

    อ่านในการประชุม

  • ส่วนประเด็นที่ถามเรื่อง สสร. ผมว่ายังเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ยังไม่จำเป็นต้อง สร้างความสับสนในเรื่องของคำถาม เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยก็คืออยากให้เป็นประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญนี้ไปตัดสินใจ เพราะฉะนั้น เราก็กลับไปสู่ Highlight ในประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ โปรดเข้าใจตรงนี้ ไม่ได้มีเจตนา เป็นอย่างอื่น ขอบพระคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบขอบพระคุณท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เคารพนะครับ ท่านสมาชิก ผู้ทรงเกียรติ จริง ๆ บรรยากาศกำลังไปด้วยดี ผมคิดว่าท่านถามมาแล้วเราพยายามตอบ ด้วยเหตุด้วยผลเพื่อให้ท่านได้แง่มุมการมองเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา สิ่งที่ท่านพูดใน คำถามที่ ๒ ที่ท่านพูดถึงเกริ่นนำด้วยการที่พี่น้องประชาชนหรือนักเรียนนักศึกษาได้ถูก การใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อหามาตรา ๑๑๒ หรือในข้อหาอื่น ๆ ก็ตามนี้ รัฐบาลเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการคุกคามหรือการเข้าไปควบคุมคุกคาม หรือไปทำให้เกิด ความหวาดกลัวอะไรนี้เป็นสิ่งที่ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราเองเราก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งนี้ แต่ว่าถ้ามีอันนี้ที่ชัดเจนและมีรูปธรรม ผมว่ากระบวนการทางกฎหมายมันดำเนินการอยู่ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันเป็นประเด็น มันก็มาจากประเด็นความขัดแย้งใน เรื่องประเด็นทางการเมืองที่เราเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ในขณะที่ยังมีกฎหมายอยู่ แล้วกฎหมายยังดำเนินการอยู่นี้ ในความเป็นจริง ก็คือทุกคนต้องเคารพกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่ว่ากฎหมายที่ไม่ค่อย ยุติธรรม กฎหมายที่ไม่ชอบธรรมหรือกฎหมายที่มันเป็นปัญหาเราก็เข้าสู่กระบวนการแก้ไข ให้มันเรียบร้อยเสีย เพราะถ้ามันยังมีกฎหมายอยู่แล้วไม่ปฏิบัติ เจ้าหน้าที่เองเขาก็คงลำบากใจ เพราะถ้าเขาไม่ปฏิบัติเขาก็โดนมาตรา ๑๕๗ ก็คือละเว้นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นตรงนี้ ผมคิดว่าเรามาเชิญชวนกัน อะไรที่ยังเป็นกฎหมายอยู่ก็อย่าเพิ่งไปท้าทายหรือไปทำอะไร ที่มันผิดเลย เพราะผิดอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็ต้องปฏิบัติ แต่ถ้ามันเป็นประเด็นทางการเมือง หรือประเด็นทางกฎหมายที่ยังมีอยู่ ผมก็คิดว่าเรามีช่องทางวิธีการในการที่จะหารือร่วมกัน แล้วก็แก้ไขได้ในหลาย ๆ กรณีด้วยกัน จับมือคุยกัน ฝ่ายค้านมาหาฝ่ายรัฐบาลและหา ช่องทางคุยกัน ทำได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้ในโลกนี้ความขัดแย้งต่าง ๆ เขาก็ใช้ กระบวนการเสวนา กระบวนการสร้างความเข้าใจกันด้วยลักษณะที่มีสันติ แล้วก็หาทางออก ร่วมกัน มันไม่มีอะไรที่สามารถสรุปได้ทั้งหมด แต่ว่าถ้าได้คุยกันมันจะเห็นข้อเหมือนและ ข้อแตกต่างกัน อย่างน้อยข้อสรุปเบื้องต้นที่ได้ในแต่ละขั้นเราก็เอามาปฏิบัติ มันก็จะทำให้ ความขัดแย้งในสังคมแล้วก็ปัญหาของสังคมมันดียิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้เราคุยกัน ได้ แล้วก็ถ้าเป็นปัญหาในระดับกฎหมายก็แก้กฎหมาย ถ้ามันเป็นปัญหาในระดับปฏิบัติเราก็ มาดูการปฏิบัติแล้วดูว่าหาทางออกอย่างไร รัฐบาลนี้ไม่เคยปฏิเสธนะครับ ถ้ามีการกระทำ ที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำให้คำสั่งหรือการจัดการ ที่ผิดให้มันถูกต้องที่สุด แต่ว่ามันก็มีปัญหาเรื่องการพูดกันว่าอันนี้จริง ไม่จริง อันนี้เป็นเรื่องที่ ถูกกระทำหรือไม่ถูกกระทำ หลายกรณีที่ชัดเจนก็เอาหลักฐานมาว่ากันแล้วก็จัดการกันไป หลายกรณีที่ไม่ชัดเจนนี้ก็ต้องขอความกรุณาว่าเราเป็นรัฐกฎหมาย มีกฎหมายเป็นหลักใน การปกครอง เพราะฉะนั้นหารูปธรรมข้อมูลมาแล้วก็มาหาทางออกร่วมกัน

    อ่านในการประชุม

  • กรณีที่ท่านพูดถึงความเสมอภาคเท่าเทียม แล้วก็พูดถึงชั้น ๑๔ นะครับ ผมรู้สึกเหมือนกันแบบเดิม เหมือนกับเรื่องรัฐธรรมนูญหมวด ๑ หมวด ๒ ผมว่าท่านไม่ได้ทำ ความเข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายที่ออกมาในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ถ้าเข้าใจแล้วนี้ท่านจะ ไม่รู้สึกเป็นแบบนี้ ผมคิดว่ากฎหมายฉบับนี้เขาออกมาเพื่อให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียม ไม่ได้เกิดในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนะครับ ไม่ได้เกิดในสมัยรัฐบาลนี้ เกิดมาก่อน เกิดมา ตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่แล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกให้เป็นความดีของรัฐบาลที่แล้วที่เล็งเห็นว่า ในการนำผู้ต้องขังไว้ในเรือนจำ ในราชทัณฑ์ มันล้นจริง ๆ ครับ ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยผมเป็น เลขาท่าน มท. ๑ เคยเข้าไปตรวจ ขณะนั้นราชทัณฑ์ยังอยู่กับกระทรวงมหาดไทย คุกมันล้น คนมันอยู่ข้างในมันลำบาก คนบาดเจ็บมันก็มีปัญหา เพราะฉะนั้นเขาก็พยายามจะ Clear เรื่องนี้ แล้วก็เป็นไปตามหลักสากล สิ่งที่เขาเสนอว่าก็คือว่าให้มีกฎหมายที่สามารถขยายให้ บุคคลที่เจ็บป่วยหรือบุคคลที่ใกล้จะพ้นวาระและปฏิบัติตัวดีสามารถไปเริ่มต้นใช้ชีวิตข้างนอกได้ จริง ๆ กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นในสมัยนี้นะครับ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ยัง ค้างอยู่ก็คือเรื่องของกฎหมายรองหรือข้อบังคับในการที่จะทำให้มันเกิดขึ้นนะครับ ถ้าเข้าใจ อันนี้ว่ามันไม่ได้สร้างขึ้นมาหรือพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาลร่วมขณะนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจะ มาดูแลใครต่อใคร ใครป่วยก็ว่าไปตามป่วย แล้วมันมีกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการ ที่เขาดูแลตามกฎบังคับอยู่แล้ว ผู้ที่อยู่ในเรือนจำถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยก็ต้องดำเนินการตาม กรอบของกฎหมาย เรื่องชั้น ๑๔ ก็เป็นเรื่องเหมือนกัน แพทย์เขายืนยัน แล้วก็การตัดสินใจ ของแพทย์ก็ต้องถือเป็นที่สุด ส่วนท่านจะไปเรียกร้องอะไรนี้ก็เป็นเรื่องกระบวนการของท่าน กับคณะแพทย์ที่ดูแลเรื่องนี้ อย่าเอาเรื่องที่เป็นกระบวนการทำปกติมาโยนใส่รัฐบาล แล้วก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ เรื่องของความปรารถนาที่จะสร้างความ ไม่เสมอภาคกัน ผมว่าใจกว้าง ๆ และใจเย็น ๆ ครับ คิดให้ดี แล้วถ้าเรายังจุกจิกกันเรื่องแบบนี้ปัญหาของประเทศมันไปไม่ได้หรอกครับ เพราะฉะนั้นต้อง ใจเที่ยงธรรมแล้วดูว่าถ้าเรื่องนี้ตั้งใจจะออกกฎหมายมานี้เพื่อคน ๆ เดียวแล้วเพื่อแก้ปัญหา อันนี้อย่างเดียว อันนี้ไม่ถูกครับ ไม่มีใครเขาทำ สิ่งที่เป็นอยู่วันนี้มันเป็นกฎหมายเพื่อคน ส่วนใหญ่เป็นไปตามหลักสากลที่นานาประเทศเขายึดถือ แล้วประเทศไทยตามหลังเขากำลัง จะทำ แล้วก็กำลังอยู่ในกระบวนการที่ออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะต้อง ออกอยู่ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการทั้งสิ้น แล้วผู้ป่วยก็ป่วยตามที่หมอได้บันทึกแล้วก็ได้มี คำวินิจฉัยที่ชัดเจน ถ้าท่านจะอภิปรายไม่ใช่อภิปรายรัฐบาลครับ กระบวนการขณะนี้ท่าน ก็อภิปรายไม่ได้ถูกต้อง เพราะไม่ใช่กระบวนการพิเศษที่ทำเฉพาะใคร เพราะฉะนั้นอยาก กราบเรียนว่าความต้องการความเสมอภาคเท่าเทียมกันนี้เป็นหัวใจและเป็นปัจจัยสำคัญ ที่รัฐบาลนี้ตั้งใจแล้วจะทำและพยายามจะทำ แล้วมันไม่ได้จบหรือมีประเด็นเพียงประเด็น เรื่องชั้น ๑๔ มาอธิบายความไม่เหลื่อมล้ำ ความไม่เหลื่อมล้ำความต้องการคือความเสมอภาค ให้เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ทำอีกหลาย ๆ เรื่องมันมีอีกหลายอย่าง เรื่องโอกาสทางการศึกษา เรื่องโอกาสทางเศรษฐกิจ เรื่องโอกาสในการใช้ชีวิต ไม่ใช่เรื่องที่วนเวียนอยู่ชั้น ๑๔ ขอความกรุณา เปิดให้กว้างแล้วไปให้ไกล แล้วไปให้ถึงประโยชน์พี่น้องประชาชนเป็นหลัก ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานที่เคารพ ขอบคุณท่านอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องขอบคุณที่ได้ให้ ความสำคัญและความสนใจกับธุรกิจขนาด Micro ขนาดกลาง ขนาดย่อม เพราะเห็นว่าเป็น รากฐานสำคัญอันนี้ก็เห็นด้วย ผมคิดว่าในประเทศที่เจริญแล้วเศรษฐกิจกลุ่มเล็ก กลุ่มย่อย กลุ่มกลาง เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการดูแลและการสนับสนุน เพราะเป็นรากฐานสำคัญในการ พัฒนาความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอิตาลีหรืออย่างหลาย ๆ ประเทศ SMEs เขาพัฒนาเติบโตขึ้นเป็นมูลค่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของการพัฒนาเศรษฐกิจของ ในประเทศ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นทิศทางที่ดีแล้ว และสิ่งสำคัญที่เรารับทราบมาส่วนหนึ่ง ก็อย่างที่ท่านอนุชาได้พูดไป เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งมาคิดกันเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้ได้คิดและได้ดำเนินการ มานานแล้วตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขกฎระเบียบกระทรวงต่าง ๆ ให้ดำเนินการไป เพื่อให้ความสนับสนุนและส่งเสริมให้ SMEs มีประโยชน์และมีศักยภาพพอที่จะเป็นรากฐาน ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เพียงแต่ว่าในการดำเนินการในการจัดการต่าง ๆ เมื่อเราได้มาพบกับเขาแล้วได้คุยก็ยังไม่กฎระเบียบ มีอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย เนื่องจาก รัฐบาลต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วได้ดำเนินการอย่างที่ท่านว่า วันนี้เราในฐานะที่เป็นพรรคแกนนำหลัก ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ เราคิดอย่างนี้มานานเหมือนกันครับ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ถ้าจำไม่ผิด หรือถ้าจำกันได้พรรคไทยรักไทยเป็นคนที่ริเริ่มนิทรรศการ SMEs แล้วก็ได้เรียนเชิญ ผู้ประกอบการ SMEs มา แล้วก็ได้มีมาตรการในการที่จะดูแลมาตั้งแต่นั้นแล้ว เพราะฉะนั้น ตรงนี้ตรงกันครับ และเราก็ยังคิดอย่างนี้มาต่อเนื่องจนกระทั่งวันนี้เรามาเป็นพรรคเพื่อไทย เราก็แชร์อันนี้เป็นนโยบายที่หาเสียง เพราะฉะนั้นอยากจะกราบเรียนว่าทิศทางและ การดำเนินการเรายึดหลักอันนี้เป็นหลักเบื้องต้นในการที่จะทำงาน เห็นด้วยครับว่า ผู้ประกอบการที่ทำอยู่เวลานี้สิ่งที่สำคัญในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเป็นตลาดใหญ่มาก แล้วก็เป็นเรื่องที่ถ้าไม่สามารถจัดการกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เอื้ออำนวย SMEs ได้ SMEs ก็จะ สู้ไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าพลังที่มีอยู่มันสู้กับพลังของธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น วันนี้สำหรับพรรคเพื่อไทยเรายืนยันอยู่แล้วว่าเราจะเป็นรัฐที่สนับสนุน ไม่ใช่เป็นรัฐที่เป็น อุปสรรค เพราะฉะนั้นกฎระเบียบต่าง ๆ ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า อะไรทำได้เราทำเลย อะไรแก้ไขได้ให้เราแก้ไขเลย อะไรที่ยังแก้ไขไม่ได้ให้ไปหาวิธีการมา เพราะฉะนั้นขณะนี้เราก็พยายามดูกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะหาทางให้สามารถไปเอื้ออำนวยและ พัฒนา SMEs ให้มีศักยภาพสูงขึ้น อันนี้เป็นทิศทาง เป็นแนวนโยบายของรัฐบาลที่จะเดินต่อ ผมกราบเรียนอย่างนี้ว่าวันนี้จริง ๆ กระบวนการที่ทำเรื่อง SMEs เราได้ทำหลายส่วนอยู่แล้ว รัฐบาลมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ SMEs มาก กระทรวงพาณิชย์ก็มี กระทรวงพาณิชย์ แต่ละกรมก็มี กระทรวงอุตสาหกรรมมี หลาย ๆ กระทรวงมีหมด แล้วยังมี สสว. วิสาหกิจ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ซึ่งเรามีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการจัดการ สิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้ ท่านประธานครับ ก็คือต่างคนต่างทำ แล้วก็บางทีมันไม่ได้มาบูรณาการร่วมกัน แล้วไม่ได้ มาเห็นทิศทางจำเป็นสำคัญ ๆ จริง ๆ ว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็น นโยบายหลักสำคัญที่รัฐบาลพยายามจะทำอยู่แล้วก็พยายามจะผลักดันให้ สสว. ซึ่งท่าน มีคำถามต่อ สสว. ให้ทำหน้าที่ในการที่จะประสานเชื่อมต่าง ๆ นี้ให้ได้ วันนี้ สสว. จริง ๆ เรา ก็มีการไปลงทะเบียนเป็นสมาชิกอยู่จำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ขณะนี้เราได้รวมและเรา พยายามที่จะคัดสรรตัว SMEs ทั้งหมดที่เข้ามาลงทะเบียนให้ดูว่าเป็น SMEs ที่มีศักยภาพ เช่น มีวงเงินเป็นอย่างไร มีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร เรารู้ว่า SMEs ที่สู้ไม่ได้เพราะ เข้าไม่ถึงแหล่งทุน เพราะฉะนั้นขณะนี้เราได้พยายามจะจัดทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อจะช่วยให้ SMEs สามารถดำเนินการได้ มาตรการวันนี้ที่เราทำไปบ้าง อย่างเช่น เราพยายามจะให้ แต้มต่อกับ SMEs ในการเข้ามาประมูลหรือเข้ามาเสนอตัวที่จะทำงานของภาครัฐซึ่งเป็น ภาคใหญ่มากที่สุดภาคหนึ่งในการที่จะทำงาน อย่างเช่น SMEs ที่เข้าร่วมลงทะเบียนกับ สสว. แล้วจะจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้กับ สสว. สามารถเสนอราคาได้สูงกว่าผู้ประกอบการทั่วไป ไม่เกินร้อยละ ๑๐ หมายความว่าถ้าต่ำสุดของเขาเสนอได้เท่าไร SMEs สามารถเสนอได้แล้ว ก็ได้แต้มต่อ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าหากว่าผู้ประกอบการนั้นสามารถยืนยันได้ว่ามีสินค้า และบริการของตัวเองรับรองได้ว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย จากสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยก็สามารถเสนอราคาได้สูงกว่าผู้ประกอบการทั่วไปไม่เกินร้อยละ ๑๕ เพราะฉะนั้นนี่คือพยายามเอาแต้มต่อให้ไปสู้ ถ้าเราสู้กับบริษัทใหญ่เราสู้ไม่ได้ แต่เรามี แต้มต่อตรงนี้ทำให้โอกาสของ SMEs ในการที่จะได้งานของฝ่ายรัฐมีมากขึ้น อันนี้ก็เป็น ทิศทางที่เรากำลังทำอยู่ นอกจากนั้นยังมีบางเรื่องคือถ้ามีการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้เป็นหน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการ SMEs ได้เป็น ลำดับแรกก่อน ถ้าในวงเงินนี้ไม่ต้องไปแข่งกับใคร เราสามารถเลือกสรร SMEs ที่มีศักยภาพ ทำได้ เขาก็จะมีโอกาสเข้าสู่กิจการการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้ง่ายกว่า เร็วกว่า อันนี้ก็เป็น เรื่องที่เราพยายามทำ แล้วก็อยากกราบเรียนว่านอกจากนั้นเรายังพยายามทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในมิติต่าง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะไปช่วยเหลือในการที่จะทำงานแล้วก็ พัฒนาศักยภาพของเขาให้เติบโตมากขึ้น เราร่วมมือกับแบงก์อีกหลายแห่งทั้งหมดประมาณ ๘ แบงก์ด้วยกันในการที่จะมาร่วมมือในการจัดดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้ SMEs มีโอกาส ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สามารถไปดำเนินการ แล้วก็จัดการพัฒนาศักยภาพตัวเองได้สูงขึ้น โดยรวมกราบเรียนท่านอย่างนี้ว่าอันนี้เป็นนโยบาย ถามว่าจะต่อเนื่องต่อไปหรือจะมีกรอบ ระยะเวลาเท่าไร ต้องกราบเรียนท่านว่าไม่มีกรอบระยะเวลา เพราะว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ก็คือเราจะทำต่อเนื่องจนกว่าการเปลี่ยนแปลงและเห็นศักยภาพของ SMEs มีความแข็งแรง ค่อยมาทบทวนมาตรการดูว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นวันนี้มาตรการนี้ ยังเป็นมาตรการที่ยึดถือกันมาต่อเนื่องแล้วก็ยังคงเดิม เราก็จะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของ SMEs ให้มีความแข็งแรงขึ้นจนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วค่อยทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตอบโดยรวม ๆ เท่านี้ แต่ว่าข้อมูลรายละเอียดผมไม่ได้พูดเยอะ เพราะผมเห็นท่านได้เสนอ เยอะอยู่แล้ว แล้วก็เป็นข้อมูลจริงที่เราก็สอดรับกัน สอดคล้องกันอยู่แล้ว ถ้ามีรายละเอียด ต่าง ๆ สสว. ก็ยินดีจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ ขอบพระคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานครับ กราบเรียนท่านสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติที่ได้ ตั้งคำถามครั้งที่ ๒ เราทราบดีว่าปัญหาที่ SMEs เผชิญในเรื่องแหล่งเงินทุน แล้วก็เป็นอย่าง ข้อเสนอที่ท่านได้เสนอมา สิ่งสำคัญที่เราเห็นตรงกันว่าเราจะดำเนินการอย่างไร ในคำถาม ที่ท่านพูดถึงที่เป็นแหล่งเงินทุนจาก LTF ซึ่งเป็นกองทุนที่จะให้ประชาชนเข้ามาในส่วนร่วม โดยมีผลประโยชน์ตอบแทนในการนำไปใช้จ่ายลดหย่อนภาษี แล้วก็ร่วมกับรัฐเพื่อเสริม สภาพคล่องผ่านสินเชื่อกับธนาคารของรัฐให้แก่ SMEs ผมกราบเรียนอย่างนี้ครับว่าจริง ๆ กองทุน LTF เป็นเรื่องที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังน่าจะมีข้อมูล แล้วก็ได้คุยกับท่านได้มากกว่า อย่างไรก็ดีในส่วนของผม ผมมองอย่างนี้ครับ ผมดูแล สสว. แล้วก็ดูแล SMEs ในกระทรวงที่รับผิดชอบอยู่หลายกระทรวง ก็อยากกราบเรียนว่าปัญหา สำคัญประการหนึ่งของผู้ประกอบการ SMEs ในขณะนี้จริง ๆ ก็มีเรื่องการเข้าถึงการจัดซื้อ จัดจ้างภาครัฐโดยใช้แหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs นั้น รัฐบาลและ สสว. ได้เป็น หน่วยงานรับผิดชอบที่จะสนับสนุนให้ SMEs ดำเนินการในงานด้านนี้ การที่เราจะสามารถ ทำให้เขาเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างโดยเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนเพื่อลดปัญหาเรื่องเงินทุนให้กับ ผู้ประกอบการ โดย สสว. จะร่วมมือกับทางสถาบันการเงินต่าง ๆ เมื่อสักครู่ผมได้เกริ่น ไปแล้วข้างต้น วิธีที่เราแก้ปัญหาขณะนี้ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเราก็คือเราพยายาม จะเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนสถาบันการเงินขณะนี้ จำนวน ๘ แห่งด้วยกัน เช่น ธนาคารกรุงไทย SME Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารทหารไทยธนชาต โดยให้การสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการ เหล่านี้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ทั้งช่วงก่อนรับงานและช่วงหลังสัญญา รวมถึงเงินทุน หมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องได้ ในปี ๒๕๖๔ ปี ๒๕๖๕ เราเชื่อมโยงผู้ประกอบการให้เข้าถึง แหล่งเงินทุนได้รวมทั้งสิ้นถึง ๑๕,๔๑๗.๕๐ ล้านบาท และในปี ๒๕๖๖ แค่ในช่วงมกราคม ถึงกันยายน ๒๕๖๖ เราทำได้รวมทั้งสิ้นถึง ๔,๙๓๘.๗๘ ล้านบาท เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือ แนวทางที่เราได้ดำเนินการแล้วก็ได้เอาใจใส่ในการดำเนินงาน ทั้งนี้ยังมีการวางแนวทาง ในการช่วยเหลือ SMEs อยู่อีก เช่น แนวทางแก้ไขหนี้ในระบบเราทราบดีว่ามี SMEs จำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ กลายเป็นหนี้เสีย มีประวัติค้างอยู่ในเครดิตบูโร อันนี้เราก็มี มาตรการช่วยเหลือพักหนี้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ แล้วก็ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ SMEs

    อ่านในการประชุม

  • เรื่องที่ ๒ แนวทางแก้ไขหนี้นอกระบบ รัฐบาลได้กำหนดให้มีโครงการลงทะเบียน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ มาตรการช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ผ่าน กระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ในโครงการแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาลด้วยมาตรการสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือรองรับลูกหนี้นอกระบบ โดยธนาคารออมสินและธนาคาร ธ.ก.ส. รวมไปถึง โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชนเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบโดยธนาคารออมสินเราก็ได้ให้ หน่วยงานเหล่านี้เข้ามารับผิดชอบและช่วยผลักดัน และแนวทางการปรับโครงสร้างระบบ การให้สินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อควบคู่ไปกับการแก้ไขหนี้ อันนี้ก็ได้มีการดำเนินงาน นะครับ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น แนวทางการยกระดับการค้ำประกันสินเชื่อ โดยกระทรวงการคลังร่วมกับ ธปท. อยู่ระหว่างเสนอแนวทางดังกล่าวอยู่ ซึ่งอันนี้ถ้าผ่าน มาได้ก็จะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้ อันนี้ก็เป็น ส่วนหนึ่ง หรือการเข้าไปดูเรื่องของเครดิตบูโรให้เพื่อจะทำให้เขาได้ผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจะ เป็นอุปสรรคต่อการที่เขาจะทำงานต่าง ๆ ได้มากขึ้น กราบเรียนว่าขณะนี้แม้เราเองจะไม่ได้ เข้าไปดูเรื่องกองทุน LTF โดยตรง อันนั้นเป็นหน้าที่คนอื่น แต่เราก็ไม่เกี่ยงงาน เราก็พยายาม ทำหน้าที่เราให้เป็นการสนับสนุนมากขึ้น และผมเชื่อว่าถ้าเรามีการประสานงานและพูดกัน LTF และพูดกับกระทรวงการคลังที่ชัดเจนขึ้น ทิศทางมันก็จะไปในทิศทางเดียวกันแล้วก็จะมี ส่วนช่วยได้เยอะ กระทรวงอุตสาหกรรมก็เหมือนกัน กระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้เข้ามา ส่งเสริมให้ความสำคัญในการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ในการประกอบ ธุรกิจและสร้างความเข้มแข็งทางการเงินผ่านมาตรการต่าง ๆ เหมือนกัน สิ่งที่กระทรวง อุตสาหกรรมได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนหมุนเวียนผ่านสินเชื่อระยะยาวตามสำหรับวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน ๕ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน ๑๐ ปี หรือสินเชื่อพิเศษที่วงเงิน สินเชื่อสูงสุดไม่เกิน ๒ ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน ๕ ปี เพราะฉะนั้นกราบเรียน ท่านว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของรัฐบาลและขององค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้อง และเราแบ่ง หน้าที่การทำ ส่วนไหนทำได้ก็ทำในหน้าที่ของตัวเองไป สำหรับของผมที่เกี่ยวข้องในแง่ของ สสว. แล้วก็หน่วยงานประสานงานที่อยู่ในกำกับดูแลเราพยายามจะจัดการต่าง ๆ เพื่อให้ SMEs ซึ่งเราเห็นว่าเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย รายกลางก็ดีเป็นฐานเศรษฐกิจของ ประเทศ เพราะฉะนั้นวันนี้เราประกาศตัวเป็นรัฐสนับสนุน ไม่ใช่รัฐอุปสรรค เพราะฉะนั้นเรา พยายามขจัดข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นปัญหา แล้วก็พยายามจะสร้างกฎระเบีบบ ข้อบังคับที่เอื้ออำนวยให้ได้ทำ อันนี้สบายใจได้ครับ ผมคิดว่าเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลและ กำลังดำเนินงานต่าง ๆ อยู่ หากมีอะไรที่ยังขาดตกบกพร่องหรือมีข้อเสนอแนะ ผมเชื่อว่า ประชาชนด้วยกันเอง ผู้ประกอบการ SMEs หรือสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติที่ให้ความห่วงใย เสนอแนะได้ เรายินดีรับไปและนำไปฏิบัติต่อไป ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • ท่านประธานครับ ผมขออนุญาตนิดเดียว ไม่มาก พอดีได้พูดถึงเกี่ยวพัน ต้องขอบคุณนะครับที่ให้ความห่วงใย SMEs แล้วก็มีมาตรการเสนอให้รัฐบาล แต่ผม กราบเรียนยืนยันว่าท่านสบายใจได้ รัฐบาลได้คำนึงถึงอันนี้อยู่ แต่ว่าการดูเรื่องการขึ้นค่าแรง เป็นการดูในเชิงความเหมาะสม ถูกต้อง ในฐานะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ยังมีชีวิต เขาก็ต้องการ มีเงินรายได้เงินเดือนที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบก็น่าเห็นใจ แต่ผมคิดว่างานนี้ต้องงานให้กว้างกว่า ถ้ามองเฉพาะส่วนการขึ้นค่าแรงงานกับคนที่จะได้ คนจะเสียนี้จะเป็นปัญหาอย่างที่ท่านพูดมาทั้งหมดแน่นอน แต่ว่ารัฐบาลนี้เห็นทั้งระบบ แล้วการที่จะสามารถทำให้ GDP ประเทศเพิ่มขึ้น การที่จะสามารถอัดฉีดบางอย่างลงไป อย่างเช่นโครงการ Digital Wallet เพื่อจะเพิ่มกำลังซื้อ มันจะไปเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มวงจร ทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่กว้างขวางขึ้นสูงขึ้น ผมคิดว่าการมองเรื่องที่รัฐบาลกำลังทำ จริง ๆ ถ้าเห็นและเข้าใจเจตนาจะเห็นภาพรวมทั้งหมด รัฐบาลต้องใช้หลายมาตรการที่จะรวมกัน หัวใจสำคัญคือทำให้เศรษฐกิจเติบโตและแข็งแรง ถ้าเศรษฐกิจเติบโตและแข็งแรงผมเชื่อว่า ผู้ประกอบการพร้อมจ่าย เพราะถ้าเศรษฐกิจเติบโตแข็งแรงกำลังซื้อของประชาชนดี กิจการ ต่าง ๆ ก็จะต้องเติบโตขึ้น กิจการต่าง ๆ เติบโตขึ้นก็ต้องการกำลังที่มาดำเนินการให้มากขึ้น ถ้ามองเห็นทั้งระบบแบบนี้จะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าทุกอย่างหยุดนิ่งและไปเพิ่มเงินให้กับ ผู้ใช้แรงงานอันนี้เป็นปัญหาแน่ ผมคิดว่าต้องมองทั้งโครงข่ายทั้งหมดและทั้งระบบ และเห็น การเติบโตที่ทุกอย่างมีส่วนเกี่ยวพันกัน เพราะฉะนั้นถ้าทำสิ่งนี้ได้แข็งแรงขึ้น ผมว่า ผู้ประกอบการ SMEs เขาก็จะได้เติบโตขึ้น เขาคงไม่กังวลกับค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้น เพราะต้อง ไปเพิ่มกำลังการผลิตเขาเพื่อจะตอบสนองกำลังซื้อที่สูงขึ้น อันนี้ก็จะดูอย่างรอบคอบ ต้องขอบคุณในความปรารถนาดีและข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ก็จะรับไปพิจารณา ขอบคุณท่านประธานที่กรุณาให้เวลาเพิ่มขึ้นอีก

    อ่านในการประชุม

  • กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ ได้ฟังกระทู้ ถามสดที่ท่านถามก็รู้ถึงความห่วงใยของท่านที่มีต่อสื่อมวลชน ซึ่งก็ต้องกราบเรียนยืนยันว่า รัฐบาลเองเรายืนยันว่าเราเห็นเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ แล้วเราก็ห่วงใยในสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและเสรีภาพของสื่อมวลชน ทุกอย่างที่เกิดนี้เราพูดหลักการมันไม่ ตอบโจทย์ หลักการนี้เราชัดเจนอยู่แล้วครับ ผมเชื่อว่าท่านกับผมก็เห็นไม่ต่างกัน รัฐบาลกับ ฝ่ายค้านก็เห็นไม่ต่างกัน แต่เวลาเกิดกระบวนการมันต้องไปดูรูปธรรมที่เกิด แล้วก็ต้องไปดูว่า กระบวนการทั้งหมดเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมดำเนินการ ตามสิ่งที่เกิดขึ้น ผมฟังท่านเกริ่นมา ตอนแรกก็ยังนึกอยู่ว่าทำไมถึงถอยหลังไปยาวอย่างนั้น เราก็รู้กันอยู่แล้วว่ารัฐบาลที่ไม่ใช่มาจากการเลือกตั้งเกิดปัญหา เพราะฉะนั้นการเกริ่นยาวไป บางทีมันจะสร้างความไม่เข้าใจ กลายเป็นว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ยังดีที่ท่านได้พูด ในสุดท้ายว่าอันนี้เป็นของรัฐบาลเก่า ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้นจริง ๆ ควรจะเข้ามาสู่รัฐบาลนี้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องหนึ่งถ้าไปโยงแบบนั้น ทำเหมือนกับว่ารัฐบาลนี้ได้เห็นพ้องต้องกันแล้วก็ทำมาตลอด ผมก็อยากเรียนว่าไม่อยากให้ ใช้วาทกรรมแบบนี้ หรือการใช้เหตุผลแวดล้อมเหล่านี้มาคุยแล้วก็มาหาทางแก้ปัญหากับ รัฐบาลปัจจุบัน อันนี้ก็ฝากท่าน แต่ว่าสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดนี้ผมกราบเรียนท่านอย่างนี้ ผมว่ารัฐบาลนี้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนตามระบอบ ประชาธิปไตย แล้วก็มาจากการที่พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งวุฒิสภาด้วย ได้ให้ความไว้วางใจแล้วก็โหวตให้ท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้เข้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้มาจากเสียงประชาชนผ่านตัวแทนของพวกเขา ในสภา นี่คือเป็นประชาธิปไตยระบบรัฐสภาโดยแท้ และหัวใจของประชาธิปไตยคือเสรีภาพ และหลักการถ่วงดุลอำนาจ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คืออำนาจการถ่วงดุลจากเสียงของประชาชนโดยตรง อันนี้เห็นพ้องต้องกันครับ และเสียง ของประชาชนที่สะท้อนผ่านสื่อมวลชนก็เป็นเรื่องที่สำคัญก็เห็นพ้องต้องกันเหมือนกัน ดังนั้น อำนาจการถ่วงดุลจากเสียงประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะเสียงที่สะท้อนผ่านสื่อมวลชน จึงเป็นหน้าที่ เป็นงานของรัฐบาลที่จะต้องปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชนในฐานะเป็นอีกหนึ่ง ในการสร้างสมดุลอำนาจในสังคมประชาธิปไตย เรื่องนี้รัฐบาลยืนยันนะครับ แล้วก็คิดว่า เป็นสิ่งที่เราจะปฏิบัติอย่างเต็มที่ เราเห็นไม่ต่างกันหรอกครับ เรามาจากการเลือกตั้ง เราเห็น คุณค่าของการที่ประชาชนจะทำหน้าที่ในการถ่วงดุล อันนี้ก็ไม่ต่างกันครับ การใช้สิทธิ เสรีภาพของทั้งสื่อมวลชน ของประชาชนก็ไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย การใช้สิทธิเสรีภาพของแต่ละส่วนก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจไว้ ก็ต้อง เป็นไปตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นถ้ามีสิ่งใดที่จะล่วงเกินหรือละเมิดสิ่งนี้ก็ต้องให้กระบวนการ ยุติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมยังไม่ยืนยันนะครับ หรือจะมาสรุปว่าเป็นอย่างไร ผมคิดว่าขณะนี้ กระบวนการยุติธรรมกำลังจะทำหน้าที่ เรื่องนี้จริง ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลที่แล้ว แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้โดยตรง แล้วก็ดำเนินการมาโดยตลอด แล้วมีการสืบสวน ที่จริงเขาจับผู้กระทำผิดคนเดียว หลังจากนั้นเขาได้มีการสืบสวนสอบสวนจนกระทั่งมี หลักฐาน อันนี้เราก็ยังฟังหูไว้หู ก็คือว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาดำเนินการตาม กระบวนการที่เขาไปสืบทราบ แล้วก็มีหลักฐาน ซึ่งจริงหรือไม่จริงอำนาจการตัดสินใจ อยู่ที่ศาล เขาได้รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น ไปขออำนาจศาล ศาลอนุมัติให้ดำเนินการ ออกหมายจับได้ เพราะฉะนั้นจริง ๆ เหล่านี้คือกระบวนการที่เป็นไป อาจจะมีตรงโน้นตรงนี้ บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมคิดว่านั่นไม่เป็นประเด็น ประเด็นสาระสำคัญคือเขาได้ดำเนินการตาม กระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่หรือเปล่า แล้วผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ได้สนับสนุนตรงนี้อย่างเต็มที่ ไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะกราบเรียนทุกท่านผ่านท่านประธาน กราบเรียนทุกท่าน อย่างนี้ว่า รัฐบาลชุดนี้อยู่ในอำนาจมาเพิ่งทำงานได้ ๕ เดือนอย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หลายครั้ง เป็นการทำงานโดยที่ไม่ได้มีงบประมาณอะไรมาทำตามโครงการที่ตัวเองอยากทำ รัฐบาลนี้ ๖ เดือนยังไม่ได้ใช้งบประมาณที่เกี่ยวกับการลงทุนเลย เราทำในโครงสร้างต่าง ๆ ที่สั่งสมมาจากความผิดในอดีต หรือปัญหาที่เกิดขึ้นทับถมมา เพราะฉะนั้นในเรื่องที่ท่านถาม ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการที่เราจะดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรุนแรง หรือวิกฤติทางเศรษฐกิจเราก็กำลังทำ ซึ่งสังคมมีความเห็นแตกต่างกัน หลายเรื่องก็ยัง ไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน เรื่องกระบวนการยุติธรรมก็มีความเห็น เราก็กำลังเข้าไปดู เข้าไปวาง ในรายละเอียดต่าง ๆ ก็ขอบคุณที่ให้ข้อคิดให้รัฐบาลได้ไปพิจารณาแล้วก็ทำให้รอบคอบยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอำนาจของรัฐบาลอย่างไรก็ไม่มีทางเหนือกฎหมาย เพราะฉะนั้นในเมื่อ กระบวนการทางกฎหมายกำลังทำ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราอย่าเพิ่งไปสรุปหรือด่วนสรุปว่า ตรงนี้รัฐบาลปิดปาก หรือตรงนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ลองดูกระบวนการยุติธรรมก่อนดีไหม ถ้าชัดเจนแล้วว่ามันไม่ได้มีหลักฐานอะไรและมันคุกคาม ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ก็ไม่ปล่อยอำนาจ ของประชาชนหรือเสรีภาพของประชาชนถูกคุกคาม แต่ถ้าด่วนสรุปไป ไปยืน มีความเห็นต่าง ไปโดยสิ้นเชิง ผมว่าวันนี้ทุกสิ่งที่ใช้กฎหมายหรือการทำงานต้องคำนึงถึงหัวใจของพี่น้อง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แล้วก็ต้องคำนึงถึงหัวใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่าง ๆ ซึ่งอาจจะ มีผิดบ้าง ถูกบ้างก็ว่ากันเป็นราย ๆ ไป อย่าเหมารวมว่ามันเป็นระบบไปทั้งหมด สิ่งที่สำคัญ อันหนึ่งก็คือว่ารัฐบาลนี้ที่ผมอยากยืนยันท่านใน Social Media ท่านนายกรัฐมนตรีหรือ รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเกือบทุกท่านต่างก็เคยถูกการวิพากษ์วิจารณ์ มากไปกว่านั้นยังมีเรื่อง Fake News แล้วก็เรื่องใส่ร้ายป้ายสีที่เกิดขึ้น ทั้งตัวท่านนายกรัฐมนตรีและหลาย ๆ คน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นบางครั้งบางเรื่องก็เป็นการเข้าข่ายลักษณะ Harassment คือการคุกคาม แต่รัฐบาลยังไม่เคยมอบหมายใครไปฟ้องคนเหล่านั้นเลยนะครับ ผมเชื่อมั่นในเสรีภาพ ในการพูด และเชื่อมั่นในวิจารณญาณของคนในสังคม และมั่นใจว่าความหลากหลายของ เนื้อหาเหล่านี้ ท้ายที่สุดมันจะถูกคัดกรองด้วยตัวมันเองจากวุฒิภาวะของสังคมและจาก ประชาชนที่มีจิตใจเที่ยงธรรมจะได้มองเห็นว่า กระบวนการทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร มันเป็นความผิดแบบไหน หรือใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ผมคิดว่าวันนี้กรณีของสื่อมวลชน ๒ ราย ที่เป็นช่างภาพจากสำนักข่าวประชาไทและ Spacebar รัฐบาลก็เสียใจที่เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเรียนให้ทราบว่าหมายจับนี้ออกมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๖๖ ทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมีพยานหลักฐานที่ทำไว้ก่อนที่ ครม. ที่ท่าน นายกรัฐมนตรีเศรษฐาจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ดังนั้นกระบวนการออกหมายจับและกระบวนการ ดำเนินการจับกุมไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจที่รัฐบาลนี้จะเข้าไปก้าวก่ายได้ ท่านคงไม่สบายใจ ถ้ามันมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วรัฐบาลนี้เข้าไปก้าวก่าย ไปจัดการ ไปกำหนดให้ตำรวจ หรือกำหนดให้มีกระบวนการที่ทำแล้วให้มันไปผิดพลาดหรือไปแทรกแซงกระบวนการ ยุติธรรม เห็นด้วยกับหลักการท่านนะครับ แต่ผมว่าเวลามาตีความหรือเอามามองใน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควรดูอย่างรอบคอบ ทำใจให้เป็นธรรม อย่าเพิ่งใช้ความรู้สึก ความชอบ หรือความสนับสนุน หรือความเห็นใจที่เกินไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมว่าต้องรอดูรูปธรรม ของปัญหาที่เกิดขึ้น ท่านคงไม่สบายใจหรอกถ้าจะให้รัฐบาลนี้ไปล้วงลูกในทุกคดีความที่ เกิดขึ้น ผมว่าปล่อยให้กระบวนการทำไป แล้วถ้ามันมีปัญหากระบวนการเราก็ต้องช่วยกันแก้ไข อยากเรียนอย่างนี้ครับว่าทั้ง ๒ ท่านวันนี้ได้รับการประกันตัว แล้วก็ทุกอย่างกำลังเดินไปตาม กระบวนการยุติธรรม รอสักนิดดีไหมครับ รอให้กระบวนการต่าง ๆ มันเผยออกมาว่ามันถูก มันผิด หรือถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร แล้วเราค่อยมาร่วมกันว่าจะแก้ปัญหาตรงนั้น อย่างไรด้วยกัน ผมไม่อยากเห็นการมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วเราก็ไปดำเนินการ แล้วก็รีบไปยืน แล้วหลาย ๆ อย่างเวลานี้มันสับสนไปหมด เมื่อวานที่ดูสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเช้าเป็น Viral ของสังคม สังคมดูกันหมด ไม่มีใครสบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมถามทุกท่านที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะยิ่งเรื่องเมื่อวานนี้ถ้าดูกันเฉพาะฉาบฉวยท่านสบายใจหรือครับที่อดีตหัวหน้า พรรคท่านหรือหัวหน้าท่านไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนที่กำลังก่อคดีคุกคามขบวนเสด็จอยู่ โบราณเขาบอกว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เราเข้าใจ เราเห็นใจ เรารักใครถ้าทำไม่ดีเราก็ต้อง ช่วยกันตักเตือน คัดค้าน เดี๋ยวนี้เขาไม่ตีกันครับ เขาใช้การพูดคุย การให้ความรู้ ให้ความคิด ให้เข้าใจว่าสิ่งใดกฎหมายบังคับ สิ่งใดสมควรหรือไม่สมควร แล้วอยู่ ๆ เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องมาโทษรัฐบาล ผมว่าฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ อย่างมีเหตุผล แทนที่จะไปพูดถึงบุคคลที่ได้ดำเนินการไปถูกผิดแล้วก็ให้เข้าสู่กระบวนการ ทางยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ท่านเรียกร้องให้เคร่งครัดครับ เวลานี้กระบวนการยุติธรรม เคร่งครัด แล้วก็พยายามจะดำเนินการ เมื่อวานท่านกำลังเรียกร้องให้เคร่งครัด อยู่ดี ๆ วันนี้ ท่านบอกว่าเรากำลังใช้อำนาจไปคุกคาม ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล หน้าที่รัฐบาลคือดำเนินการ ตามสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงและให้กระบวนการยุติธรรมนั้นเอื้ออำนวยความยุติธรรมกับ ทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง ท่านก็คงไม่สบายใจถ้าใครมากล่าวหาท่านโดยตรงก็เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ หรือว่าอยู่เบื้องหลังอะไรต่าง ๆ ใจเย็น ๆ นะครับ อยากให้ช่วยกันคิดช่วยกันดู แล้วก็ ทุกอย่างว่ากันไปตามเหตุผล ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายไปสร้างเรื่องเท็จ มาทำร้ายการแสดงออกของพี่น้องประชาชน อันนั้นเรามาคุยกัน เป็นหน้าที่ของทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านต้องดำเนินการ แต่ขณะนี้ไม่ได้ถูกปิดกั้นการแสดงออก เพียงแต่การแสดงออกนั้น สมควรหรือไม่สมควร ทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปพ่นสี กำแพงวัดพระแก้ว หรือการที่จะไปบีบแตรไล่ขบวนเสด็จหรือจะแทรกเข้าขบวนเสด็จ เหมือนกันทั้งหมดครับ กฎหมายก็พยายามทำ แต่ก็พยายามให้ความนุ่มนวล จนหลายท่าน อาจจะบอกว่าทำไมกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำงานอย่างเคร่งครัดเหมือนอย่างที่ท่าน อภิปรายสนับสนุนเมื่อวานว่าขบวนเสด็จอย่างนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานให้เต็มที่ เคร่งครัด แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นเราพยายามจะให้เป็นไปโดยอิงกระบวนการยุติธรรม ท่านยังตั้ง คำถาม ผมคิดว่าก็รับฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ ผมก็จะพยายามนำเรื่องนี้เสนอ ครม. ให้ช่วย พิจารณา แต่ว่าอยากให้ช่วยดูเรื่องให้ครบถ้วนแล้วอย่าเพิ่งด่วนสรุป อย่าเพิ่งใช้วาทกรรม เมื่อวานนี้ท่านพูดหลายเรื่องดี แต่การที่ใช้กลไก ใช้เงื่อนไข หรือใช้ปมบางสิ่งบางอย่าง ผมดูข่าวบางช่องถ่ายรูปสภาแล้วก็มีไฟลุกท่วมจอ ท่านอยากให้ความขัดแย้งใหม่กลับมา หรือครับ รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไปแล้ว แล้วถ้าความขัดแย้งแบบใหม่ เกิดขึ้นมาท่านกำลังปลุกให้กระแสสังคมมันเกิดชนหน้ากัน ท่านอยากเห็นเมืองไทย ใน ๑๐ ปีที่ผ่านมากลับไปสู่วังวนแบบเดิมหรือครับ เพราะฉะนั้นผมอยากเรียนท่านว่า ท่านอย่าห่วง รัฐบาลนี้ยืนยันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่ผ่านทาง สื่อมวลชน แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือสื่อมวลชน หรือรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ต้องรักษากฎกติกาสังคมถึงจะสงบสุข ทุกอย่างจะเดินไปได้ ส่วนกระบวนการยุติธรรม ที่เกิดขึ้นจากคน บุคคลทำงาน มันมีจุดรั่วหลายจุด ไม่สมบูรณ์ จุดอะไรต่าง ๆ เรามาช่วยกัน แก้ปัญหาครับ ผมเชื่อว่าจากการที่เป็นไปอยู่แล้วก็ที่ผมได้นำเสนอนี้คงทำให้ท่านสบายใจขึ้น ว่าท่านไม่ต้องห่วงรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้ยังยืนยันคุ้มครองสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่ครับ ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • ท่านประธานครับ

    อ่านในการประชุม

  • ผมเพิ่งพูดไปครั้งเดียว แล้วก็มีประเด็น

    อ่านในการประชุม

  • ท่านประธานครับ จริง ๆ ก็ไม่ต้องเพิ่มขยายขนาดนั้นก็ได้ครับ เพราะว่า ผู้ถามกระทู้สดก็พูดไปเยอะมากแล้วในแต่ละประเด็น ก็เพียงจะตอบสั้น ๆ

    อ่านในการประชุม

  • ประเด็นที่ ๑ ก็คืออย่ากังวลใจ อย่าหมกมุ่นกับสิ่งที่เคยเกิด แล้วก็อย่า จินตนาการต่อเนื่องว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเรียนยืนยันว่ารัฐบาลนี้ ให้ความเคารพต่อเสรีภาพประชาชน โดยเฉพาะสื่อมวลชน เรายึดตามรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐ มาตรา ๓๕ ที่ถือว่าสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวและข้อคิดเห็น เราส่งเสริมให้สื่อ กำกับดูแลควบคุมกันเอง เพราะฉะนั้นผมอยากกราบเรียนว่าเรายึดถือตามรัฐธรรมนูญ หลายเรื่องที่ท่านพูดมานี้ผมไม่อยากให้ท่านเอาเรื่องอดีตแล้วก็มาผูกพันกับเรื่องปัจจุบัน แล้วมาเสนอ วันนี้เราเห็นเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่าเวลาหยิบเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าบอกว่ารัฐบาลนี้จะคุกคามสื่อ ผมว่าหลายคอลัมนิสต์ หลายรายการที่พูดอยู่วันนี้พูดถึง รัฐบาลในทางที่ไม่ดีมากมาย และรัฐบาลนี้ไม่เคยเข้าไปแตะต้องเลยครับ ถือว่าเป็นเสรีภาพ เพราะฉะนั้นอยากให้ทำใจให้กว้าง ๆ จริง ๆ แล้วก็ถึงแม้ท่านจะเป็นสื่อมวลชนมาก่อน ก็ต้อง เรียนยืนยันว่าสื่อมวลชนทั้งหลายนี้ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย เราคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแน่นอน แต่ท่านต้องใช้สิทธิเสรีภาพในกรอบ ซึ่งเกินเลยไปบ้างรัฐบาลนี้ก็ยังไม่เคยเข้าไปทำอะไร เพราะฉะนั้นก็อยากยืนยันว่ารัฐบาลนี้ยึดมั่นในเสรีภาพ ส่วนสื่อ ๒ ท่าน ท่านอย่าไปกังวลใจ แทนเขาครับ กระบวนการยุติธรรมเขาดำเนินการไป ถ้าถึงที่สุดแล้วมีปัญหาว่าหลักฐาน ไม่เพียงพอที่จะไปทำอย่างนั้น เราค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเขาดำเนินการไม่เหมาะ ผมก็ ได้คุยครับ คิดว่าจะระมัดระวังในสิ่งที่ตอบ แต่เขายืนยันว่าเขามีหลักฐานครบถ้วน เราทั้ง ๒ ฝ่ายอย่าเพิ่งไปยืนข้างใคร รอหลักฐานก่อนแล้วค่อยมาว่าดีไหมครับ ถ้าหลักฐานมันชัด ประเด็นคำถามของท่านมันก็ไม่เกิด แต่ตั้งคำถามไม่ชัดมันก็จะคิดไปได้ว่านี่คือกระบวนการ คุกคามสื่อก็ค่อยมาว่ากัน แต่ว่าถ้าหลักฐานมันชัดท่านก็ต้องเข้าใจ แล้วก็ต้องยอมรับว่า กระบวนการมันเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้เรายังไม่สรุป ก็ให้กระบวนการมันดำเนินการไป แล้วก็ สุดท้ายผมรู้ดีครับ รัฐบาลนี้รู้ดีว่าสื่อไม่ใช่ PR แล้วไปใช้ IO ของใคร ไปถามประชาชนดูว่า สื่อมวลชนของรัฐบาลวันนี้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ IO ให้รัฐบาลมากน้อยแค่ไหน ดูได้ทุกช่องครับ ช่อง ๙ ช่อง ๑๑ ช่องไทยพีบีเอส เพราะฉะนั้นอย่าเอาเรื่องอย่างนี้แค่เกิดเฉพาะบางเรื่องแล้ว มาบอกว่ารัฐบาลคุกคามสื่อ อยู่กับความเป็นจริง และผมคิดว่าคนตอบได้ดีที่สุดว่า รัฐบาล คุกคามสื่อหรือว่าคนที่กล่าวหาพูดไม่ครบถ้วนโดยมีประโยชน์ที่ตัวเองอยากเชื่ออยากเห็น แล้วก็อยากจะพูดฝ่ายเดียว ประชาชนคือคำตอบครับ ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม

  • ท่านยังติดใจเรื่องการตั้งรัฐบาลอยู่ แล้วไม่ได้เป็นรัฐบาลต่อ เลยติดใจ เรื่องลูกผสม จริง ๆ มาตามกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด ทั้งหมดนะครับ สิ่งที่ท่านพูดนี้ ผมคิดว่าถ้าหลักการเราไม่ต่างกัน รัฐบาลนี้ยืนยันอยู่แล้ว ปัญหาคือท่านมองว่ารัฐบาลนี้ไม่รับฟัง แล้วก็เอาต่าง ๆ นี้มาปกป้องตัวเองแล้วชี้หน้าคนอื่น ผมว่าทั้งหมดอยู่ที่ข้อเท็จจริง การปฏิบัติ ที่เป็นจริงอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่คนเห็น ท่านจะพูดวาทกรรมสวยหรูอย่างไร หรือท่านจะบอกว่า ท่านเป็นสื่อมวลชนมาอย่างไรก็ตาม ผมว่าวันนี้เราเถียงกันเรื่องรูปธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็ดูว่า มันจะเป็นอย่างไร รัฐบาลยืนยันว่ารัฐบาลยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นในการให้เสรีภาพ พี่น้องประชาชน และยึดมั่นในการเคารพเสรีภาพของสื่อ สิ่งที่แตกต่างกันนี้คือการมอง รูปธรรมและมีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องในรูปธรรม ทุกกรณีที่เกิดขึ้นกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับความมั่นคงมันเป็นเรื่องที่ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูด ท่านบอกว่าเราไปทำเพื่อชี้หน้า แล้วก็ทำให้มันเกิดความรุนแรงมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องมันมีอยู่ ทั้ง ๒ มุมมอง ถ้าท่านหยิบมาพูดแล้วมันเกิดความเป็นจริงมันก็กลายเป็นจุดชนวนให้ ความขัดแย้งในสังคมมันขยายตัวมากขึ้น ผมถึงถามว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ปลุกให้เกิดความรุนแรง ๒ ฝ่ายมาชนกัน ชนะกัน จะปกป้อง ฝ่ายหนึ่งหรือจะเสริมฝ่ายหนึ่งก็ตาม ล้วนแต่กำลังจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นเป็นความวุ่นวาย เพื่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ที่ตามมา เศรษฐกิจประเทศล้มเหลวมาจนถึงขนาดนี้ท่านต้องการ หรือครับ ก็อยากให้เข้าใจสิ่งนี้ แล้วผมคิดว่าท่านพูดกับผมพูดอาจจะไม่เหมือนกัน หรือ พื้นฐานข้อมูลต่างกันแต่ทัศนะอาจจะต่างกัน ข้อมูลอาจจะเหมือนกันแต่ทัศนะอาจจะต่างกัน ประชาชนเป็นผู้พิจารณาว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่าง ๆ มีกระบวนการมาอย่างไร มีปัญหา อย่างไร ท่านแสดงความเห็นอย่างไร ท่านแสดงบทบาทอย่างไร รัฐบาลทำอะไร ทุกอย่าง เป็นอย่างไร ประชาชนเป็นคำตอบครับ ขอบคุณครับ

    อ่านในการประชุม