ท่านประธานครับ ผมขอชี้แจง สุดท้ายได้ไหมครับ จะได้กล่าวขอบคุณด้วยแล้วจบเลย
กราบเรียนท่านประธาน ที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ ผมถือว่าวันนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ Thai PBS ได้มี โอกาสมารายงานต่อตัวแทนของปวงชน ถือว่าเป็นการรายงานต่อสาธารณชนทั้งประเทศ ท่านประธานครับ ปัจจุบันนี้ Thai PBS มีอายุได้ ๑๕ ปี เป็นสื่อสาธารณะแห่งเดียว ในประเทศไทย และในภูมิภาค รวมทั้งใน ASEAN ถ้าจะเทียบกับสื่อสาธารณะที่เราพูดกันถึง อย่าง BBC NHK สื่อสาธารณะอย่าง BBC มีอายุ ๑๐๑ ปี Thai PBS ๑๕ ปี NHK มีอายุ ๙๗ ปี รองลงไปอย่างของ Canadian Broadcasting CBC มีอายุ ๘๗ ปี และของออสเตรเลีย ABC มีอายุ ๙๑ ปี Thai PBS ใช้เงินสนับสนุน ๒,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ท่านประธานทราบไหมว่า BBC ใช้เงินสนับสนุนเท่าไร ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท Thai PBS ๒,๐๐๐ ล้านบาท NHK ใช้เงินสนับสนุน ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี เพราะฉะนั้นถ้าจะเทียบกัน ผมคิดว่า Thai PBS เดินมา ๑๕ ปีได้ดีมากพอสมควร แต่แน่นอนจะเทียบกับ BBC และ NHK อาจจะยังเทียบกันไม่ได้ Thai PBS ตั้งมา ๑๕ ปี ได้เงินสนับสนุน ๒,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้วก็ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ปัจจุบันนี้ก็ ๒,๐๐๐๐ ล้านบาท ท่านประธานคิดว่า ค่าของเงินเท่ากันไหมครับ ๒,๐๐๐ ล้านบาทเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้วถ้าเทียบกับปัจจุบันนี้ก็เหลือ เพียงแค่ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาทเศษ ๑,๐๐๐ กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง อันนี้ก็เป็น การตอบคำถามในตัวว่า Thai PBS จะเป็นอย่างไรเรื่องการเงิน ขณะเดียวกันเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว Thai PBS มี TV อยู่ช่องเดียวคือช่องหมายเลข ๓ ปัจจุบันนี้ Thai PBS มี TV ๒ ช่อง หมายเลข ๓ และมี ALTV หมายเลข ๔ ยิ่งกว่านั้นเมื่อ Digital เทคโนโลยีเฟื่องฟู Thai PBS ก็ต้องเข้าไปยึดหรือเข้าไปแทรกอยู่ใน Digital TV Online ทั้งหลาย Thai PBS จึงมีทุก Platform ในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น Facebook YouTube TikTok หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านลองดูได้ว่า Thai PBS ก็ได้ทำ และในรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปก็เพื่อให้ประชาชน มีทางเลือกสื่อที่เป็นสื่อสาธารณะ ที่ไม่ถูกอิทธิพลทั้งทางพาณิชย์และในทางการเมือง เพราะฉะนั้นเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาทที่เรียนมาก็ตอบคำถามอยู่ในตัวว่าจะทำอย่างไรต่อไป ท่านประธานครับ Thai PBS ยังมีภารกิจที่จะต้องเดินต่อ เพราะฉะนั้น Thai PBS ก็ต้อง พยายามคิด ถ้าจะทำตามพระราชบัญญัติอย่างที่ สส. บางท่านบอกว่าให้สามารถที่จะ Revised หรือทบทวน หรือขอให้รัฐบาลทบทวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เพราะเหตุว่าภาวะ เงินเฟ้อที่มันเกิดขึ้นก็ทำได้ แต่ถ้าดูภาระของประเทศ Thai PBS จึงพยายามที่จะช่วยตัวเอง พยายามที่จะเอาเงินสะสมมาใช้บางส่วน ในขณะที่มีภารกิจเพิ่มขึ้นอย่างที่ท่านผู้อำนวยการ ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ในปี ๒๕๖๓ ที่เราเกิดปัญหาเรื่องโควิด และยิ่งกว่านั้น Thai PBS กำลัง คิดว่าเราจะต้องหา Partner หาองค์กรที่มาร่วมกันในการทำงาน เพราะเราอยากจะทำงาน เพิ่มเติม จะได้มีองค์กรที่มาร่วมกันในการทำงานเพิ่มด้วย เพราะฉะนั้นในอนาคตก็คงจะเป็น ในทำนองนี้ครับ ท่านประธานครับ แม้ TV จะลดระดับความสำคัญลง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ ไม่ดู TV ต้องพูดความจริง แต่คนอายุตั้งแต่ ๔๐ ปี ๔๕ ปีขึ้นไปยังต้องอาศัยข่าวสารจาก TV จากโทรทัศน์ โดยเฉพาะ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยซึ่งจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ TV ก็ยังทิ้ง ไม่ได้ จะไปในทาง Online อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น TV ก็ยังต้องทำ ท่านประธานครับ ในปี ๒๕๗๒ อีก ๖ ปีข้างหน้า License หรือใบอนุญาต TV Digital ทั้งหลายใน TV พาณิชย์ จะหมดลง ท่านเดาได้ไหมว่า TV จะล้มหายตายจากไปอีกเท่าไร เพราะขณะนี้มีหลายช่อง ทำไปร้องไห้ไป TV อาจจะเหลือเพียงแค่ ๔-๕ ช่อง เพราะฉะนั้น Thai PBS ก็คงต้องยืนหยัด ที่จะเป็น TV เพื่อข่าวสารสาระของประชาชนต่อไป
ท่านประธานครับ ผู้อำนวยการได้พูดแล้วว่าในทางเศรษฐศาสตร์แล้วเรามี Market Failure ปกติระบบตลาดมันสามารถจะทำงานว่าถ้ามีคนต้องการแบบไหน ผู้ผลิต ก็จะหันไปทำแบบนั้น แต่มันมีเรื่องของเด็ก เยาวชน รวมทั้งคนเล็กคนน้อย คนชายขอบ คนที่ขาดอำนาจซื้อ ระบบตลาดไม่ทำงานครับ เพราะเขาไม่มีอำนาจซื้อ เพราะฉะนั้น TV พาณิชย์เขาสนใจได้ลำบากมาก เพราะ Agency ก็ดี การโฆษณาก็ดี เขาอยากจะโฆษณา ที่คนที่มีอำนาจซื้อ ก็เป็นภารกิจของ TV สาธารณะอย่าง Thai PBS ที่จะต้องเข้ามารองรับ อย่างนี้ ท่านประธานจะเริ่มมองเห็นแล้วใช่ไหมว่าทำไม Thai PBS จึงมีภารกิจไม่ใช่ เพียงแค่ทำ TV แล้วให้มีคนดูเฉย ๆ แต่ท่านประธานครับ ทำ TV ก็อยากให้มีคนดู และท่าน ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่บอกว่าทำไม Thai PBS เป็น TV ที่ดีแต่ว่าคนดูน้อย ผมเรียนครับ ผมได้ยินท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่พูดถึง Thai PBS มีข้อดีเยอะแยะเลย แสดงว่าท่านดู ที่ผมพูดนี้ไม่ได้ต้องการจะย้อนยอกท่านเลย แต่จะบอกให้ว่าขณะนี้ Thai PBS คนที่ดู Thai PBS คือคนที่เป็นผู้นำทางความคิดของสังคมแล้วไปขยายผลต่อ ท่านประธานครับ ขณะนี้ ท่าน สส. บางท่านก็บอกแล้วว่าไม่มีเวลาดู แต่ก็ดูย้อนหลัง เพราะฉะนั้นการดู Rating ที่เขาดูจาก ผมไม่อยากจะเอ่ยนามนะครับ มันมีหน่วยงานเอกชนที่เขาวัด Rating เขาเอา กล่องไปติดตามบ้าน ๑,๐๐๐ กว่ากล่องทั้งประเทศ แล้วกล่องหนึ่งให้คนมากด ๔ คน หมายความว่าถ้าพ่อจะดูกดเบอร์ ๑ แม่จะดูกดเบอร์ ๒ ลูกจะดูกดเบอร์ ๓ และเบอร์ ๔ เพราะฉะนั้นเวลาที่ดูใน Real time เวลาที่ท่านจะดูตรงไหน ถ้าพ่อดูอยู่ แม่ก็ดูไม่ได้ หรือแม่ดูอยู่ พ่อก็ไม่กล้าดู หรือลูกก็ไม่ได้ดู เพราะฉะนั้นการวัดแบบนี้เป็นการวัดที่ในทางสถิติแล้ว เชื่อถือได้ยาก เพราะฉะนั้นเวลาที่จะดูตรง Rating โดยที่วัดอันนี้ ถ้ากลับไปดูใหม่ที่ท่าน บอกว่าไปดูย้อนหลัง จะเป็นอีกคนละเรื่องกันเลย แล้ว สส. บางท่านก็บอกเองว่า Thai PBS ไม่ค่อยมี Drama ธรรมชาติของมนุษย์ที่มี Drama เรื่องนิดเดียวขยายกันไป เรื่อย ๆ อย่างที่ท่านพูด ผมไม่อยากจะพูดซ้ำ มันทำให้คนติดตาม และขณะเดียวกันที่สังคม มีความแตกแยกทางความคิด คนอยากจะดูสื่อที่สะท้อนความคิดของตัวเอง เพราะฉะนั้น สื่ออย่าง Thai PBS ที่พยายามจะเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง คนก็จะมีความรู้สึกว่าอยากจะไปดู ที่เลือกข้าง เพราะมันเป็น Echo Chamber ก็คือไปสะท้อนความคิด ความพอใจของตัวเอง และถ้าสื่อที่อยากจะได้คนดูเยอะ ๆ ผมทำสื่อมา ๓๐ ปีทราบครับ ถ้าเราบวกเรื่อง Sex กับเรื่องความรุนแรง มันเป็นสันดานดิบของมนุษย์ที่ชอบเรื่อง Sex กับเรื่องความรุนแรง มันเป็นชูรสมันน่าดู แต่ท่านทั้งหลายก็คงจะรู้ว่าถ้า Thai PBS เป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องมี Thai PBS เพราะไปดูที่อื่นก็ได้ เพราะเขาก็จะใส่ชูรสเต็มไปหมด อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องเลือก Target Group ว่า Thai PBS ต้องการจะถึงใคร และเขา จะได้ไปใช้สาระความรู้ไปเผยแพร่ต่ออย่างไร อันนี้ก็เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าท่านหยิบประเด็น ได้ดีว่าใคร ๆ ก็อยากเห็นรายการดี แล้วก็มีคนดูเยอะ ๆ ด้วย ไม่มีใครหรอกทำไปแล้ว ก็ไม่อยากให้คนดูไม่มาก แต่มันก็มีปัจจัยอย่างที่ผมพยายามจะวิเคราะห์ให้ท่านฟังนะครับ
ท่านประธานครับ ประเด็นถัดไปที่ผมอยากจะเรียนก็คือว่าในสถานการณ์ วิกฤติมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ๆ ในประเทศไทย Thai PBS เป็นที่รู้จัก เป็นที่พึ่งพามากขึ้น เรื่อย ๆ ท่านจะลองสังเกตดูไหมว่าบ้านเมืองถ้าเกิดวิกฤติดิน ฟ้า อากาศ ภัยพิบัติ โลกร้อน เกิดเมื่อไรทุกคนก็จะวิ่งเข้ามาหา Thai PBS เพราะว่าเชื่อถือได้ เมื่อมีการวิกฤติการเมือง ระหว่างประเทศหรือในประเทศไทย ท่านทั้งหลายพูดว่าก็หันมาดู Thai PBS แม้แต่ ในสภาแห่งนี้เวลานับคะแนนยังดู Thai PBS เพราะเชื่อถือได้ ไม่ต้องรวดเร็ว แต่เชื่อได้ และขณะเดียวกันเมื่อเกิดวิกฤติอาชญากรรมข้ามชาติ หรือมีการยิงกราดคนก็จะตามมาดูที่ Thai PBS มีวิกฤติสิทธิมนุษยชนคนกลุ่มน้อย หรือว่าสังคมสูงวัย คนก็จะหันกลับมาดูที่ Thai PBS ซึ่งมันบอกหลายอย่างว่าเราต้องมี TV ที่เป็นที่น่าเชื่อถือ และขณะเดียวกัน อย่างที่ท่านผู้อำนวยการได้เรียนท่านผู้ทรงเกียรติแล้วว่าเราได้รับความน่าเชื่อถือจากสถาบัน REUTERS ๒ ปีซ้อนที่มาเป็นอันดับ ๑ Thai PBS ยังสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างที่ ท่านพูด ซึ่งผมดีใจมากว่าท่านเองก็จับประเด็น และท่านทั้งหลายในห้องนี้ดู Thai PBS จึงจับประเด็นพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพัทลุงที่ท่านพูดถึง เรื่องคนจนเมือง เรื่องสถานี ประชาชน เรื่องคนหาย เรื่องการเตือนภัยพิบัติ หนี้นอกระบบ อย่างนี้เป็นต้น Thai PBS ได้พยายามที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี และพยายามที่จะกระจายไปยัง Thai PBS ภูมิภาค และท้องถิ่น เราเน้นที่ขณะนี้มี Thai PBS ไปส่งเสริมให้เกิดสื่อ Online ที่ยึดจรรยาบรรณ จริยธรรมเหมือนกับ Thai PBS เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ตรงกับที่ท่านแนะนำแล้วก็สนับสนุน Thai PBS มีนักข่าวพลเมืองทั่วประเทศถึง ๖,๐๐๐ คน แล้วก็มีผู้ผลิตรายการอิสระ ที่พยายามจะยึดหลักการในการทำสื่อที่ดีเหมือนสื่อสาธารณะ Thai PBS มีสภาผู้ชมผู้ฟัง ที่จะรับฟังเสียงสะท้อนให้สภาผู้ชมผู้ฟังที่มีอยู่ ๕๐ คน ไปรับฟังจากประชาชนผู้ชมผู้ฟัง และสะท้อนกลับเข้ามา เป็นสถานีหรือเป็นองค์กรสื่อแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีสภาผู้ชม ผู้ฟัง แต่อยากจะกราบเรียนความแตกต่างนิดเดียว เขาไม่ได้เป็นสภา คือเป็นตัวแทนของผู้ฟัง เหมือนกับท่านทั้งหลายที่มาจากการเลือกตั้งในที่นี้ แต่เราเรียกเขาว่าสภาผู้ชมผู้ฟัง แต่เขา ไปทำหน้าที่ในการไปรับฟังความเห็น ข้อติติง และเสนอกลับเข้ามานะครับ เพราะฉะนั้น Thai PBS เป็นสื่อสาธารณะ ปัจจุบันนี้เป็นสื่อสาธารณะแห่งแรกในภูมิภาค ASEAN เรามุ่งหวังว่าจะให้ Thai PBS โดยเฉพาะ Thai PBS World อย่างที่ท่านพูดเป็นสื่อต้นแบบ ใน ASEAN แล้วจะเน้นช่องทาง Soft Power ซึ่งที่ท่านแนะนำมาก็ตรงกัน แล้วก็จะรับ ข้อคิดเห็นพวกนี้ไปด้วยนะครับ แล้วก็สุดท้ายครับ Thai PBS ยังต้องทำงานหนัก เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไว ท่านทั้งหลายคงรู้ว่า ๔-๕ ปีเทคโนโลยีเปลี่ยนอย่างไม่เห็นหน้า เห็นหลัง Thai PBS จำเป็นที่จะต้องปรับองค์กรให้เป็น Digital Transformation ให้คนในองค์กร รองรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยน โดยเฉพาะเปลี่ยน Mindset เปลี่ยนวิธีคิดของคนในองค์กร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายครับ นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเดินต่อไปในอนาคตเพื่อทำให้ Thai PBS ได้เข้าไป ช่วยสังคม เป็นสื่อที่ไว้วางใจได้ แล้วก็เป็นสื่อ Online สื่อ Digital ที่ไว้วางใจได้ นอกจาก จะเป็น Thai PBS ช่อง ๓ หรือช่อง ๔ เท่านั้น ข้อคิดความเห็นของท่านทั้งหลายผมว่า เป็นประโยชน์นะครับ ก็ต้องกราบขอบพระคุณ แล้วก็สัญญาว่าจะปรับปรุงและพัฒนา สื่อสาธารณะแห่งนี้ให้เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน และเป็นสื่อสาธารณะของภูมิภาค และของ ASEAN ให้ได้ครับ ขอบพระคุณครับท่านประธาน
เรียนท่านประธานครับ ผม เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผมให้สัญญาว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แล้วก็ผมคิดว่า อยากจะต้องพึ่งพาท่าน สส. ทั้งหลายด้วยนะครับ เพราะสื่อสาธารณะไม่ใช่สื่อของผม ไม่ใช่สื่อของอาจารย์วิลาสินีหรือพวกเรา เมื่อท่านเห็นว่าสื่อนี้ดีน่าเชื่อถือ แต่จะทำอย่างไร ให้คนดู เราต้องช่วยกันใช่ไหมครับ ก็อยากจะเชิญชวนคุณเกียรติคุณด้วยว่าเข้ามาช่วยกัน มันไม่มีผลประโยชน์อะไร นอกจากผลประโยชน์ของสาธารณะ ท่านพยักหน้าผมก็ดีใจนะครับ แล้วก็อยากจะเรียนตอบอีกข้อหนึ่งที่บังเอิญผมลืมตอบ ท่านพูดถึงเรื่องว่าผมอยู่สภานี่ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องสภาผัวเมีย ท่านจำได้ใช่ไหมครับ รู้สึกจะเป็นคุณเอกราชเป็นคนพูด แล้วก็พูดในทำนองว่ากรรมการสรรหา สรรหากรรมการนโยบาย ได้พวกผม ๙ คนไปเป็น กรรมการนโยบาย และในกรรมการสรรหานั้นมี สสส. ผู้อำนวยการ สสส. เป็นกรรมการ สรรหา ผมเรียนอย่างนี้ ตามพระราชบัญญัติกำหนดไว้ตัวคนอยู่ ๑๕ คนที่จะเป็นกรรมการ สรรหา กรรมการนโยบาย อันประกอบไปด้วยผู้แทนของสมาคมสื่อทั้งหลายทุกประเภทรวมกันทั้งหมด ๔ คน ผมไม่ต้องลงรายละเอียดนะครับ ดูใน พ.ร.บ. มี ๔ ตำแหน่ง แล้วก็มีจากภาคประชาสังคม ๖ ตำแหน่ง ตัวประธานตัวอะไรต่ออะไรของภาคประชาสังคมทั้งหลายรวมเป็น ๑๐ คน แล้วมีภาครัฐ ๕ คน อันประกอบไปด้วยปลัดกระทรวง ๔ คน และมีผู้อำนวยการ สสส. อีก ๑ คน คือภาครัฐมี ๕ คน เพราะฉะนั้นท่านลองคิดดูสิว่าผู้อำนวยการ สสส. คนเดียว ซึ่งปกติท่านก็ไม่ได้มา เขาส่งผู้แทนของ สสส. มา และผู้แทนของ สสส. ก็ต้องได้รับอนุมัติ จาก Board ของ สสส. ที่จะส่งผู้แทนมา แล้วกฎหมายนี้ตั้งมาเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ไม่ใช่ เพิ่งมีใครไปสร้างกฎหมายที่จะเอาผู้อำนวยการ สสส. มาเป็นคนสรรหา แล้วก็กลายเป็นว่า คณะกรรมการสรรหา ๑๕ คน เลือกกรรมการนโยบาย ๙ คน แล้วในกฎหมายเขียนว่า ให้กรรมการนโยบายเป็นคนสรรหา แต่งตั้ง และถอดถอนผู้อำนวยการ ซึ่งกรรมการ นโยบายที่ผมเป็นประธานพวกเราอยากจะให้ทุกอย่างมันเปิดเผย ให้ทุกอย่างมันโปร่งใส และไม่อยากที่จะเป็นคนสรรหาเอง เมื่อมีอำนาจการตั้งระบบในการสรรหา จึงได้ตั้ง กรรมการสรรหาขึ้นมา ๙ คน เมื่อชุดที่แล้วเขาตั้งกรรมการสรรหา ๖ คน ผมตั้งกรรมการ สรรหา ๙ คน และใน ๙ คนนี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ถ้าเอ่ยชื่อมาท่านก็รู้จัก และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่สรรหามาและให้กรรมการนโยบายรับรอง ให้กรรมการนโยบายเห็นชอบ ตกลงอย่างนี้ มันจะเป็นความบังเอิญหรือเปล่า ที่บอกว่า สสส. ไปตั้งผม ตั้งกรรมการนโยบาย สรรหา กรรมการนโยบาย และกรรมการนโยบายก็ไปแต่งตั้งหรือสรรหาผู้อำนวยการ ซึ่งบังเอิญ ผู้อำนวยการเป็นญาติพี่น้องกับ สสส. ผมคิดว่ามันไกลพอสมควร แต่คิดได้ครับ แต่ก็ขออนุญาต ท่านประธานชี้แจงว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ แล้วกฎหมายนี้มันมา ๑๕ ปีแล้ว ใครจะไป วางแผนเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว แล้วระบุไปเลยว่า สสส. เป็นหนึ่งในกรรมการสรรหา กรรมการ นโยบาย แล้วก็กรรมการนโยบายเป็นคนที่จะไปกำหนดตัวหรือไปสรรหาแต่งตั้งผู้อำนวยการ เพราะฉะนั้นคิดได้ แต่ผมก็อธิบายให้ท่านเพื่อทำความเข้าใจนะครับ ขอบพระคุณครับ ท่านประธานครับ