เรียนประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกผู้แทนราษฎร เขตบางนา พระโขนง กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกลครับ กรณีรายงานของ ป.ป.ส. ในครั้งนี้เราจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเรื่องปัญหา ยาเสพติด หลายท่านได้พูดไปแล้วว่าปัญหายาเสพติดนั้นเป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับประเทศไทย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรามีผู้ต้องขังหรือจำนวนนักโทษในเรือนจำที่มี การจับกุมไปเป็นจำนวนนับแสนราย โดยมีงบประมาณที่ทาง ป.ป.ส. ได้มีการใช้จ่ายรายปีไป นับ ๓,๑๒๘ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา โดยเป็นงบปราบปรามยาเสพติดถึง ๔๖ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๑,๔๓๘ ล้านบาท ซึ่งงบประมาณมูลค่านี้ยังมีงบในการบำบัดอีก ๒๘๗ ล้านบาท ตีเป็น ๙ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็มีงบการป้องกันอีก ๒๓ เปอร์เซ็นต์ กว่า ๗๑๖ ล้านบาท ฉะนั้นแล้ว แผนป้องกันและปราบปรามของ ป.ป.ส. นี้ถือว่าใช้งบประมาณเป็นส่วนใหญ่ของงบประมาณ ทั้งหมดในการจัดการหรือแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทยนะครับ ซึ่งเมื่อไปดูแผน การป้องกันในเล่มที่ท่านได้นำรายงานมา ในหน้าที่ ๒๐ นี้ เป็นแผนปฏิบัติการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔ ใช้แนวคิดการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแผนแม่บทย่อย การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง กล่าวคือมุ่งยึดแนวคิดการแก้ไข ปัญหายาเสพติดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งนี่คือ ข้อความในบทบัญญัติที่ท่านได้ระบุไว้ในแผนปฏิบัติงานนะครับ ซึ่งแน่นอนในนั้นจะมีข้อที่ ๓ ที่ท่านเน้นย้ำว่าเป็นการปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติด โดยมุ่งเน้นการทำลายโครงสร้างการค้ายาเสพติด ย้ำนะครับ การมุ่งเน้นทำลายโครงสร้าง การค้ายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปล่อยปละละเลยการทุจริตและเข้าไปมี ส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผ่านทางการบูรณาการการข่าว การสืบสวน และการใช้ เทคโนโลยี นี่คือสิ่งที่ท่านได้ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ซึ่งแน่นอนพอไปดูที่ปัญหาที่ผมกำลัง จะชี้ให้เห็นคือจำนวนผู้ที่ถูกดำเนินคดีในกระบวนการที่ผ่านมานั้น ทั้งที่เป็นผู้ต้องขัง และผู้ต้องโทษในเรือนจำของประเทศไทยนั้นมีกว่า ๒๗๙,๐๐๐ กว่าคน ซึ่งคิดเป็นคดียาเสพติด ๘๑ เปอร์เซ็นต์ คือ ๒๒๗,๐๐๐ คน จากจำนวนผู้ต้องขังทั้งประเทศ ๒๗๐,๐๐๐ คน คิดเป็น เปอร์เซ็นต์กว่า ๘๑ เปอร์เซ็นต์นั้น คิดเป็นผู้เสพรายใหม่ ๑๒๑,๖๔๑ คน คิดเป็นผู้กระทำผิด ซ้ำซากจากจำนวนนี้ถึง ๖,๐๓๔ คน แสดงว่ามีผู้กระทำผิดรายใหม่ ๑๒๐,๐๐๐ กว่าคน ในแต่ละปี โดยล่าสุดนี้เป็นสถิติในปี ๒๕๖๔ มีผู้เข้าบำบัด ซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้ต้องโทษ ผู้บำบัด แยกไปต่างหากอีก ๑๕๕,๐๐๐ กว่าราย ในปี ๒๕๖๔ นี้ สิ่งที่ผมอยากจะสอบถามไปทาง ป.ป.ส. ผ่านท่านประธานว่า ท่านทราบหรือไม่ว่าในแผนป้องกันของท่านนั้นที่เกี่ยวกับ เรื่องของการทำลายโครงสร้างการค้ายาเสพติดนั้น สิ่งที่น่ากังวลที่สุดที่สำคัญและไม่มี ในรายงานของท่านคือการที่เครือข่ายยาเสพติดที่อยู่ภายในเรือนจำนั่นละ จำนวนคนที่มี ส่วนเกี่ยวข้องทั้งโทษทางตรงคือมีผู้ค้าและผู้เสพนั้น และผู้ที่กระทำผิดทางอาญาที่มีผลจาก ยาเสพติดนั้นไปรวมตัวกันอยู่ที่เรือนจำของประเทศไทย ที่ผมกล้าพูดอย่างนี้นะครับ ผมมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาดูงาน เพราะศาลไม่ให้ประกันตัวบ้าง ฝากขังผมบ้าง อยู่หลายรอบ หลายครั้ง ก็ถือโอกาสศึกษาดูงาน เพราะเรียกร้องประชาธิปไตยไปในตัวด้วย ก็ได้รับทราบว่า ผู้ต้องขังและนักโทษในเรือนจำนั้นส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติดและเขามีเครือข่ายในการขยาย เครือข่ายของพวกเขา และที่สำคัญขออนุญาตเอ่ยชื่อ ท่านประเสริฐ บุญเรือง ได้พูดไว้แล้วว่า ผู้ค้ายาเสพติดทั้งหลายนั้นเขาไม่ได้เกรงกลัวต่อการติดคุก ฉะนั้นการติดคุกของเขาก็คือ การเข้าไปแลกเปลี่ยน Connection การเข้าไปสร้างเครือข่าย ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทุก คนที่ถูกจับติดคุกนั้นออกมาแล้วจะมาค้ายาเสพติดอีกครั้งหนึ่ง หรือจะมาทำธุรกิจเกี่ยวกับยา เสพติด แต่ผมกำลังบอกว่านั่นคือการเพิ่มโอกาสในการขยายการกระทำผิดในเรื่องยาเสพติด ที่สำคัญก็คือว่าพอผมได้มีการสอบถามว่าถ้าคุณออกมาแล้วทำไมคุณถึงกลับเข้ามา อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เขาตอบผมคือเขาไม่มีโอกาสในการกลับตัวกลับใจ หมายความว่าเมื่อมี ความด่างพร้อย มีคดีความติดตัว และพ้นโทษออกไปนั้น แม้จะมีใบปลดจากการเป็นนักโทษ หรือผู้ต้องโทษแล้ว หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนไม่สามารถที่จะรับรองการทำงานของ พวกเขาได้ เนื่องจากว่าเป็นผู้ต้องโทษคดียาเสพติด ไม่มีหน่วยงานไหนรับพวกเขาเข้าทำงาน ทำให้พวกเขาต้องกลับไปวนเวียนอยู่ในธุรกิจหรืออาชีพในลักษณะเดิมที่เคยเป็นมานะครับ นั่นก็ไม่จบไม่สิ้นในเรื่องปัญหายาเสพติด ที่สำคัญคือมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจากผู้เสพกลายเป็น ผู้ค้า จากผู้ค้ากลายเป็นผู้ค้ารายใหญ่ นั่นคือแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ดังนั้นผมจึงขอฝาก ท่านรองเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่ได้มาตอบในวันนี้ว่า อยากจะให้มีการศึกษาแผนการรับรอง การส่งคืนผู้พ้นโทษคุมขังคดียาเสพติดกลับคืนสู่สังคม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสังคม และให้พวกเขาได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ รวมถึงแผนการที่จะเข้าไปดูแลกำกับ ในการดำเนินการด้านการข่าวในเรือนจำ หากมีการขยายเครือข่ายกันเกิดขึ้น สำหรับข้อมูล ทั้งหมดที่ผมมีการสอบถามเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ขออนุญาตขึ้น Slide ครับท่านประธาน
วันนี้ผมขออนุญาตมาขยายประเด็น เกี่ยวกับเรื่องของผู้ลี้ภัย หรือสิทธิของผู้ลี้ภัยจากเพื่อนสมาชิกที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากว่าเนื้อหาในเรื่องของผู้ลี้ภัยนั้นค่อนข้างจะมีรายละเอียดซับซ้อน แล้วก็มีส่วน เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาต่าง ๆ ระหว่างประเทศจึงอาจจะไม่ครอบคลุมภายใน ๗ นาที ของเพื่อน ๆ สมาชิกท่านก่อนหน้านะครับ ผมมีข้อตั้งคำถามตัวโต ๆ ครับท่านประธานว่า ผู้ลี้ภัยใช่มนุษย์หรือไม่ ที่ผมถามแบบนี้เพราะว่าเหตุผลของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินี้ มีพันธะสำคัญที่ให้กับพี่น้องประชาชนและคนทั้งโลกว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยนั้นจะกระทำมิได้ หรือกระทำก็ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย หรือจะต้องมีการรายงานให้เกิดขึ้นในข้อเท็จจริง ฉะนั้นแล้วเราจะเห็นว่าหลายครั้งจะมี การละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น และในรายงานของ กสม. นี้ ทั้ง ๒ ฉบับนั้นก็มีการรายงาน เพียงเฉพาะในเรื่องที่ กสม. เลือกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น หรือมีผู้ร้อง หรือมีการนำเสนอเท่านั้น แต่ยังมีหลายรายงาน ซึ่งเป็นรายงานที่เกิดขึ้นในต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แต่กลับไม่พบในรายงานของ กสม. ของประเทศไทยเอง เราจะเห็นว่าเพื่อนสมาชิกได้พูดถึงเรื่องผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่หลบลี้ภัยสงคราม มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ ๔ จังหวัดชายแดนของประเทศไทยกว่า ๙๐,๐๐๐ คน รายงานนี้อยู่ในรายงานของ กสม. ครับท่าน แต่ว่ารายงานนี้กลับไม่ลงรายละเอียดว่ามันยังมี ผู้ลี้ภัยที่อยู่กว่า ๔๐ ประเทศทั่วโลกนี่หลบลี้หนีภัยอยู่ในประเทศไทยกว่า ๕,๐๐๐ ราย รายงานนี้ถูกรายงานโดย UNHCR หรือสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาตินะครับ แต่ทำไมรายงานชิ้นนี้กับไม่พบในรายงานของ กสม. นะครับ ๔,๐๐๐ ราย ๕,๐๐๐ ราย เกือบ ๖,๐๐๐ รายนี้ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ ครับท่านประธาน และที่สำคัญคือนอกจากพวกเขา ต้องหลบอยู่ภายใต้กฎหมายที่ไม่ได้รับการรองรับของประเทศไทย เรายังไม่มี พ.ร.บ. ผู้ลี้ภัย แต่เรากลับมีพวกเขาอยู่ในประเทศโดยที่พวกเราไม่ทราบเลยว่ามีอยู่ที่ไหน อย่างไร และเขา ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไรบ้าง Slide ต่อไปครับท่านประธาน เราจะเห็นว่า การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเขานั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทยแต่ไม่พบอยู่ใน รายงานของ กสม. นะครับ เราจะเห็นว่ารายงานข่าวปี ๒๕๖๔ เลยครับ เดือนพฤศจิกายน ช่วงปลายปีมีชาวกัมพูชาที่ลี้ภัยการเมืองเข้ามาหลบอยู่ในประเทศไทยและถูกส่งกลับประเทศ พวกเขา ในขณะที่พวกเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR แล้วนะครับ เขากำลังอยู่ ในขั้นตอนของการขอไปประเทศที่สามครับ รับรองโดย UN แต่กับถูกจับกุมหลังจากที่มาทำ หนังสือยื่นขอที่ประเทศไทยแล้วถูกส่งกลับกัมพูชาครับ
อีกท่านหนึ่งครับ เป็นคนประเทศลาว ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ ถูกบังคับให้สูญหาย หรือถูกอุ้มนั่นเองในประเทศไทย ไม่มีในรายงานนี้ใน กสม. มีผู้ถูกอุ้มหายกลางห้าง ในประเทศไทยหลังจากที่ออกมาจากสำนักงาน UN ของประเทศไทยแล้วถูกส่งกลับ เวียดนามครับ ไม่มีการลงรายละเอียดใน กสม. ครับ กรณีเดียวกันครับอุ้มหายชาวเวียดนาม เพื่อนของเขาเองครับ เมื่อเดือนเมษายน ปี ๒๕๖๖ นี้เอง ในขณะที่เขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัย ของ UNHCR แล้วนะครับ Slide ถัดไปครับ มีการเกิดขึ้นลักษณะเดียวกันในประเทศ เพื่อนบ้านแต่เป็นคนไทยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคุณวันเฉลิม หรือหลาย ๆ Case กรณี อาจารย์สุรชัยก็เป็นหนึ่งใน Case นั้น ซึ่งถูกพบเป็นศพหลังจากที่ลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับมีรายงานเพียงเล็กน้อยในประเทศไทยนะครับ แต่ก็ไม่พบการสืบสวนสอบสวนต่อไป ในการนำเสนอให้กับรัฐบาลหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงนะครับ Slide ถัดไปครับ นี่คืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองบุคคลทุกคน ที่สูญหายโดยการบังคับ ประเทศไทยเคยให้เจตนารมณ์ว่าจะเข้าภาคีอนุสัญญานี้ ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ครับ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการดำเนินการต่อในการลงนาม เพื่อเข้าร่วมอย่างเป็นทางการหรือให้สัตยาบันนะครับ เนื่องจากว่าอนุสัญญานี้เป็นอนุสัญญา ที่สำคัญมาก เป็นสาระสำคัญที่ว่าด้วยเรื่องกำหนดให้บุคคลที่สูญหายนั้นหรือถูกบังคับนั้น เป็นฐานความผิดกฎหมายอาญา หรือกระทำในนามของเจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นความผิดนะครับ ซึ่งครอบคลุมไปถึงบุคคลที่หายสาบสูญนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นชนชาติไทยหรือคนไทย นี่คือสิ่งที่มีหลายประเทศเข้าร่วมแต่ประเทศไทยเพียงแต่แสดงเจตนารมณ์ แต่ไม่ได้มีการลงนาม ในสัตยาบันนี้นะครับ ซึ่งก็อยากจะสอบถามไปทาง กสม. เช่นเดียวกันครับว่าเหตุใดจึงยัง ไม่ได้มีการผลักดันเรื่องนี้ไปให้รัฐบาลหรือติดขัดในเรื่องใดบ้างนะครับ เพราะว่าเราให้ เจตนารมณ์ไปตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ก็นานนับ ๑๐ ปี จนกระทั่ง พ.ร.บ. อุ้มหาย ของเรานั้นมีการประกาศใช้ไปแล้วนะครับ ก็ไม่แน่ใจว่ายังติดขัดเรื่องใดอยู่บ้างนะครับ ฉะนั้น Slide ถัดไปครับ เรายังมีเรื่องของกฎหมายหรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการผลักดัน กลับประเทศ หรือพูดง่าย ๆ ว่าอย่างที่เพื่อนหลายท่านได้พูดไปว่ามันมีเรื่องเกี่ยวกับ อนุสัญญาที่เกี่ยวกับเรื่องการผลักดันกลับประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนได้ให้รายละเอียดไปแล้ว ผมจึงไม่ขอลงรายละเอียด แต่ผมอยากจะย้ำสาระสำคัญที่ว่าถ้าเรามีเรื่องนี้อยู่ในการลงนามนั้น เราจะไม่สามารถขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง เมื่อมีเหตุ อันเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อันตรายนะครับ เรื่องนี้เราก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้า ในการที่จะดำเนินการอย่างจริงจังครับท่าน สุดท้ายแล้วผมมีข้อซักถามข้อสุดท้าย ถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินั้น ได้มีการรายงานการรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยชาวต่างชาติที่ถูกบังคับ ให้สูญหายหรือถูกจับในประเทศไทยอย่างไรบ้าง และมีมาตรการคุ้มครองเสรีภาพ ของพวกเขาในอนาคตหรือไม่อย่างไรครับ ขอบคุณครับท่านประธาน
เรียนประธานสภาที่เคารพ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกลครับ ขออนุญาตท่านผู้ชี้แจง ขออนุญาตตั้งคำถามผ่านท่านประธานสภาไปยัง ผู้ชี้แจงนะครับ ขออนุญาตขึ้น Slide ครับ
วันนี้ผมมีคำถามต่อเรื่องของ รายงานของศาลธรรมนูญ เกี่ยวกับค่าตอบแทนตุลาการศาลธรรมนูญ ผมคิดว่า ตามแผนของสำนักงานนั้น ค่าตอบแทนของตุลาการ และคณะปฏิบัติงาน รวมถึง การดำเนินงานอาจจะไม่พอเพียงต่อการดำรงชีพ ตามรายงานของทางสำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ หน้า ๖๔ จะเห็นการเปรียบเทียบงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ และปี ๒๕๖๕ เป็นค่าตอบแทนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและคณะสนับสนุน การปฏิบัติงานของคณะตุลาการ รวมกันในปี ๒๕๖๔ นี้ ๕๕ ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๕ นี้ ๕๗ ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นก็เกือบ ๒-๓ ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้พูดแบบนี้ก็อาจจะไม่ยุติธรรมกับ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าเราต้องไปดูผลงาน หรือแผนงานที่ได้ดำเนินการตลอด ปี ๒๕๖๕ เทียบกับปี ๒๕๖๔ ด้วยครับ หน้าต่อไปครับ งานที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญนั้น ได้มีการเสนอไปยังคณะตุลาการตลอดปี ๒๕๖๔ นั้น มี ๕๑ เรื่องที่มีการพิจารณาแล้วเสร็จ ส่วนปี ๒๕๖๕ นั้นมี ๘๐ เรื่อง เมื่อเป็นเรื่องที่พิจารณาแล้วเสร็จ ผลงาน หรืองานที่คณะตุลาการ ได้พิจารณาแล้วเสร็จนั้น ๘๐ เรื่อง ซึ่งแน่นอนครับมากกว่าปี ๒๕๖๔ จึงต้องใช้งบประมาณ มากขึ้นใช่หรือไม่ อันนี้คือคำถามที่ ๑ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตั้งงบประมาณที่ว่าด้วย เรื่องค่าตอบแทนนั้นจะเป็นงบที่มอบให้กับทางตุลาการเป็นทั้งเงินเดือน แล้วก็ค่า ดำรงตำแหน่ง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการ ซึ่งแน่นอนสูงพอสมควรสำหรับความเห็น ของผม ซึ่งมากกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้วก็มากกว่าผู้ชำนาญการ หรือผู้เชี่ยวชาญ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยในอัตราเมื่อเปรียบเทียบ แต่งานนั้นก็ได้มีการเพิ่มขึ้น ไม่มากนักเมื่อเทียบกัน สำหรับปี ๒๕๖๔ และปี ๒๕๖๕ ครับ ค่าตอบแทนที่ให้ตุลาการ เดือนละ ๑๓๐,๐๐๐ กว่าบาทนี้นะครับ ประธานคณะตุลาการของศาลรัฐธรรมนูญนี้ ได้ประมาณ ๑๓๘,๐๐๐ บาท ส่วนองค์คณะได้ท่านละ ๑๓๑,๐๐๐ บาทโดยประมาณ ผู้ชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ราว ๆ ๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ฉะนั้นแล้วนี่ถือว่าเป็นค่าตอบแทน ที่สูงนะครับ แต่เหตุใดคำถามของผมถึงถามว่าไม่พอเพียงกับการดำรงชีพของ คณะตุลาการ เนื่องจากว่าเราปรากฏหลายครั้งหลายคราวครับ เกี่ยวกับกรณีที่ตุลาการ บางท่านตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ มาแล้วจนถึงปัจจุบันที่ไปรับงานพิเศษเพิ่มเติมกรณีเป็นอาจารย์ ในมหาวิทยาลัย ซึ่งเรื่องนี้มีการถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ ตั้งแต่เราใช้รัฐธรรมนูญฉบับเก่า คือฉบับปี ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีคำถามและข้อครหานี้ กระทั่งเหตุการณ์ล่าสุด สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เร็ว ๆ นี้เองได้ทำ หนังสือเปิดผนึก อันนี้สภานักศึกษาของทางธรรมศาสตร์ได้ทำหนังสือถึงคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ทบทวนเพื่อให้ยุติการเชิญตุลาการบางท่านมาปฏิบัติหน้าที่เป็น อาจารย์พิเศษ เรื่องนี้ที่ต้องตั้งคำถามแบบนี้เพราะเราเป็นห่วง แต่ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจต่อ ตุลาการนะครับ เพราะว่าผมเองก็เคยร่ำเรียนกับอาจารย์หลายท่านในนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์มา หลายท่านก็เป็นอาจารย์ของผม ฉะนั้นในวันที่เราร่ำเรียนนั้นเราก็ยังตั้ง คำถามเรื่องนี้ว่าตุลาการท่านต้องการมาสั่งสอน อบรมให้กับนักศึกษาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จริงครับ แต่ว่าผมกังวลเรื่องข้อครหาครับ ครหาที่ว่าก็คือมันจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๐๒ หรือเปล่านะครับ เพราะกรณีนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๐๒ โดยเฉพาะ (๗) ระบุไว้ ชัดเจนเลยว่าเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐไม่ได้ขัดต่อคุณสมบัติของการเป็น ตุลาการนะครับ ท่านก็จะบอกว่าเคยมีคำวินิจฉัยหรือความเห็นของตุลาการแล้วว่าการเป็น ลูกจ้างนั้นเป็นการไปสอนพิเศษ หรือการไปสอนหนังสือเป็นเพื่อสาธารณประโยชน์ เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นั่นก็ยังไม่พ้นข้อครหาท่านประธานครับ เนื่องจากว่าสิ่งนี้เองก็ยัง ขัดต่อคำวินิจฉัยของท่านเอง
Slide สุดท้ายครับ ที่ท่านเคยวินิจฉัยให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ขออนุญาตเอ่ยนามนะครับ โดยท่านเปิดถึงพจนานุกรม ปี ๒๕๔๒ มาตีความหมายคำว่า ลูกจ้างว่า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะได้รับค่าจ้างเป็นสิ่งตอบแทน ไม่จำเป็น ต้องเป็นสินไหม เป็นเงินเป็นทองนะครับ ฉะนั้นก็ถือว่าเป็นลูกจ้าง เรื่องนี้จึงต้องตั้งคำถาม กันอย่างตรงไปตรงมาว่าเงินค่าตอบแทนของตุลาการนั้นไม่เพียงพอใช่หรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอ ฝากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งงบประมาณเสนอ ครม. เพิ่มเงินเดือนให้กับตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นทางดีที่สุด แต่ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสมผมคิดว่าท่านก็ทำหลักสูตรขึ้นมา อบรมให้กับนักศึกษาโดยใช้งบประมาณของทางสำนักงานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะดีกว่า ดีกว่าให้ท่านตุลาการไปรับงาน หรือไปรับเชิญ แล้วรับค่าตอบแทนจากทางหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน ทางอื่นซึ่งจะถูกครหานินทาในทางต่อไปได้นะครับ ฉะนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้อง ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ฝากท่านผู้ชี้แจงผ่านท่านประธานสภาได้ชี้แจงเรื่องนี้ ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
เรียนประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกลครับ ขออนุญาตท่านประธานครับ ขออนุญาตเรียนถามชี้แจงไปทาง ท่านประธาน ป.ป.ช. นะครับ วันนี้ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านประธาน ป.ป.ช. ที่ได้เดินทาง มาชี้แจงด้วยตนเองนะครับ ตลอดเกือบ ๒ เดือนที่ผ่านมานี้หลายหน่วยงานมาชี้แจง แต่ว่าไม่ได้มีท่านประธานมาตอบเอง วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านประธาน ป.ป.ช. นะครับ ขอขึ้น Slide เลยครับ
วันนี้มีคำถามถึงสำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ต่อคำถาม ถึงมาตรการการปกปิดข้อมูลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ในหน้า ๑ เลยครับ ในรายงาน ของท่านเอง ในรายงานการปฏิบัติงานของท่าน ปี ๒๕๖๕ นี้ ท่านมีค่านิยมหลักขององค์กร ของท่านว่า “ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้” ขีดเส้นใต้ตัวแดง ๆ ไว้เลยครับ “โปร่งใส ตรวจสอบได้” สิ่งนี้เองที่ผมมาตั้งคำถามในวันนี้ เพราะว่า ในการดำเนินการตรวจสอบของ ป.ป.ช. นั้นมีหลายครั้งหลายคราที่มีการปัดตก หรือไม่รับ พิจารณาในการดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปยัง ป.ป.ช. จะเห็นว่าในเรื่องของอำนาจ หน้าที่ของ ป.ป.ช. ในการปราบปรามการทุจริตอ้างอิงจากรายงานของท่านเองฉบับเดียวกัน นี้ในหน้า ๖๘ ได้มีการทำสถิติไว้ว่าเรื่องร้องเรียนตลอดปี ๒๕๖๕ นี้ ป.ป.ช. รับไว้พิจารณาเอง ทั้งหมด ๔,๒๓๔ เรื่อง ซึ่งแน่นอนครับ เป็นเรื่องที่มาจากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การร้องเรียนไปตาม ป.ป.ช. จังหวัด และร้องเรียนไปตาม ป.ป.ช. สำนักงานใหญ่ที่นนทบุรี และทางช่องทางอื่น ๆ แต่แล้วมีเรื่องที่ท่านรับพิจารณา เป็นเรื่องที่พิจารณาในชั้นไต่สวน ข้อเท็จจริงเป็นกระบวนการต่อไปหลังจากที่รับเรื่องมาจะเป็นกระบวนการตรวจสอบเบื้องต้น และการไต่สวนข้อเท็จจริงนี้มีการดำเนินการเรื่องดังกล่าวไปแล้วในปี ๒๕๖๕ นี้ ๖๔๑ เรื่อง นี่ก็อ้างอิงจากรายงานของท่าน ในหน้า ๗๑ หน้านี้ได้มีการพูดถึงเรื่องทั้ง ๖๔๑ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง ๒ เรื่องแรกที่ผม Highlight หรือขีดเส้นไว้อาจจะตัวเล็กนิดหนึ่ง เนื่องจากว่า อ้างอิงจากเอกสารของท่าน ในข้อ ๒.๑ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกยกมาพิจารณา คือขาดอายุความ ไปแล้ว ๘ เรื่อง
และเรื่องที่ ๒.๒ ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ท่านก็ปัดตกไป ๗๖ เรื่อง ตัวนี้ละครับที่ผมสงสัย เพราะว่ามันมีประเด็นเกิดขึ้นล่าสุดนี้ ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งกัน ระหว่างหน่วยงานอิสระ อย่าง ป.ป.ช. กับศาลปกครองสูงสุด ขออนุญาต Slide ถัดไปครับ ขออนุญาตเอ่ยนามไม่เสียหายครับ คุณวีระ สมความคิด เป็นผู้ร้องไปยัง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ ป.ป.ช. นั้นได้เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนกรณีคำร้องที่มีต่อ ป.ป.ช. กรณีของนาฬิกาหรู และแหวนเพชรของนักการเมืองท่านหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าวันนี้อยู่ในที่ประชุมหรือไม่นะครับ ซึ่งเรื่องนั้นได้มีการปัดตกไปในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งแน่นอนครับ ผู้ร้องมีสิทธิที่จะขอ เอกสาร คำไต่สวน หรือข้อเท็จจริง เหตุผลที่ท่านปัดตก หรือไม่รับพิจารณา หรืออะไร ก็แล้วแต่ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการชี้มูลความผิด โดย ป.ป.ช. คุณวีระได้ทำเรื่องนี้ต่อสู้ ขั้นตอนนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๖๕ ในชั้นตั้งแต่ชั้นกรรมการเปิดเผยข้อมูลจนมาถึงศาลปกครองกลาง และสู้มาจนถึงศาลปกครองสูงสุด นั่นคือที่สุดของคำสั่ง เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๖ ปีนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ อ. ๒๒๔/๒๕๖๖ ให้ ป.ป.ช. เปิดเผย เอกสารการไต่สวนที่ผู้ร้องได้ขอไปทาง ป.ป.ช. ทุกฉบับ ทั้ง ๓ ฉบับ ซึ่งแน่นอนครับ ศาลปกครองมีคำสั่งแล้วให้ทางผู้ร้องไปยื่นคำสั่งนี้กับสำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อท่านผู้ร้องไปยื่น สิ่งที่ทาง ป.ป.ช. ให้กลับมายังผู้ร้องกลับเป็นเอกสาร จำนวน ๒ ชุด และไม่ให้คืนมาอีก ๑ ชุด ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด แต่เอกสาร ๒ ชุดที่ได้มานั้น ชุดหนึ่งหน้าส่วนใหญ่ที่ได้มา คือกระดาษเปล่าครับ กระดาษเปล่าล้วน ๆ เลยครับ แล้วก็ประทับตราไว้ว่า ลับ ลับในที่นี้คือ ลับ ครับ และอีกหน้าหนึ่ง อีกชุดหนึ่งถมดำในสาระสำคัญ อ่านไม่ได้ครับ ไม่รู้เรื่องครับ และเอกสารฉบับที่ไม่ยอมเปิดเผยตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดนั้นกลับเป็นเอกสารภายใน ของ ป.ป.ช. เอง คือคณะกรรมการไต่สวน ซึ่งเป็นผู้ทำความเห็นว่าเพราะเหตุใดจึงไม่สั่งฟ้อง หรือไม่ส่งต่อในการดำเนินคดี ท่านให้เหตุผลว่า ที่ทราบจากสื่อมวลชนและรายงานของ ท่านเองนะครับ ท่านแจ้งไว้ว่าเป็นเพื่อการปกปิดคุ้มครองพยาน หรือเพื่อเป็นการรักษา ซึ่งการคุ้มครองให้การดำเนินการของท่านนั้นเป็นไปตามกระบวนการ ตามระเบียบของ ป.ป.ช. เอง หรือข้อบังคับของ ป.ป.ช. ผมก็เลยสงสัยว่าระเบียบ ข้อบังคับของ ป.ป.ช. นั้น สามารถขัดต่อคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดได้หรือไม่ อันนี้คือคำถามที่ ๑ นะครับ
ส่วนคำถามต่อมา Slide หน้าสุดท้ายครับ ข้อกล่าวอ้างของ ป.ป.ช. ที่ไม่ยอม เปิดเผย เอกสารตามคำสั่งของศาลนั้น โดยแถลงว่ากังวลถึงผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่ทำความเห็นเกี่ยวกับคำร้องของผู้ฟ้องนั้น ท่านกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพล ฉะนั้นผมถามว่า ป.ป.ช. กลัวอะไร ในเมื่อหน้าที่ของท่านนั้นจะต้องเป็นผู้ดำรงไว้ ซึ่งการแสวงหาข้อเท็จจริง และกระบวนการยุติธรรมที่กระทำผิด หรือทุจริตต่อหน้าที่ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ขอฝากท่านประธานสภาผ่านไปทางท่านประธาน ป.ป.ช. ได้ตอบคำถาม ด้วยว่าท่านกลัวอะไร หรือท่านมีขั้นตอนอย่างไรต่อไป ขอบคุณมากครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ขออนุญาตปรึกษาหารือท่านประธาน ๒ เรื่องด้วยกันครับ
เรื่องแรก ตลาดนัดแอบแฝง การพนันในเขตพระโขนงและเขตบางนา เนื่องจากว่าพื้นที่เขตพระโขนงและเขตบางนานี้ เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ และมีพื้นที่ชุมชนอยู่อย่างแออัดหนาแน่น แต่สุดท้ายแล้วปล่อยให้มี ตลาดนัดซึ่งไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้มีการขออนุญาต ด้านหน้าเป็นตลาดทั่วไป พอเข้าไปข้างใน เป็นซุ้มการพนัน วางของล่อตาล่อใจ มีเงินวาง บางครั้งอ้างวันแม่แห่งชาติมาใช้เป็นกิจกรรม เล่นการพนันแบบนี้ มีการเสียเงินเสียทองกัน ผมทำหนังสือไปถึงสำนักงานเขต ทำหนังสือไป ศูนย์ดำรงธรรม กรมการปกครอง ไปถึง สน. ก็ไปมาแล้ว สุดท้ายได้คำตอบกลับมาว่า เปรียบเทียบปรับแค่วันละ ๕๐๐ บาท แบบนี้ใครมีเงินจ่ายค่าปรับก็ตั้งตลาดได้ใช่ไหมครับ ฉะนั้นรบกวนท่านประธานฝากเรื่องนี้ไปถึงสำนักงานเขต เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่เพิกเฉยต่อการจัดตั้งตลาดนัดที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย และปล่อยให้มีการละเล่นแอบแฝงการพนันอันส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรอบครับ
เรื่องต่อไปเรื่องสุดท้ายครับ อันตรายจากอุบัติเหตุรถยนต์บรรทุกพ่วง ที่วิ่งในช่วงเวลาห้ามวิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในเขตพระโขนง เขตบางนา และในกรุงเทพมหานคร หลายพื้นที่ ล่าสุดนี้ก็มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นเสียชีวิตไปหลายราย และมีเหตุหนึ่งที่ถูกจับจ้อง เป็นพิเศษแต่เรื่องเงียบไป คือเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๖ ถนนอุดมสุข ปากทางอุดมสุขเลยครับ นางสาวบัวชมพู หอมระรื่น นักศึกษาเพิ่งจบครับ เสียชีวิตในขณะที่รถพ่วงบรรทุกเฉี่ยวชน และทับร่างเขาเสียชีวิตในอ้อมอกพ่อของเขา สุดท้ายแล้วเรื่องเงียบครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าได้มากที่สุดก็เปรียบเทียบปรับเพราะรถบรรทุกวิ่งนอกเวลา คือวิ่งในเวลาห้ามวิ่ง เท่านั้นเอง ก็ไม่สามารถที่จะตามเรื่องได้ ฉะนั้นฝากเรื่องนี้ไปถึงท่านนายกรัฐมนตรีขอให้ช่วย ดำเนินการจัดการปัญหาเรื่องส่วยรถบรรทุก อันเป็นต้นเหตุของปัญหารถบรรทุกวิ่งในเวลา ห้ามวิ่งในเขตเมือง และบรรทุกน้ำหนักเกินจนทำให้เสียหาย และเกิดอุบัติเหตุอย่างมากมาย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จึงขอความเป็นธรรมท่านประธาน ขอให้ดำเนินการด้วย ขอบคุณมากครับ
ท่านประธานครับ ปิยรัฐ จงเทพ ๒๒๘ แสดงตนครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล วันนี้ ผมขออนุญาตหารือท่านประธาน ๑ ประเด็นด้วยกันครับ คือเรื่องที่ตั้งสถานีดับเพลิงย่อย บางนา ขออนุญาต Slide ขึ้นด้วยครับ
สถานีดับเพลิงย่อยบางนานี้ ถ้าเราไปดูในเขตพื้นที่บางนากว่า ๑๘ ตารางกิโลเมตรนั้นมีประชากรในทะเบียนบ้าน ๘๖,๐๐๐ คน ประชากรแฝงอีกหลายแสนคนครับ แต่มีสถานีดับเพลิงย่อยเพียง ๑ สถานี ในพื้นที่เขตบางนาครับ นั่นเราไปดูในพื้นที่เราจะเห็นว่าจะมีเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ๆ ครั้งสำคัญ ๆ เฉลี่ยแล้วปีละถึง ๑๑ ครั้ง ยังไม่นับรวมเหตุเพลิงไหม้ย่อย ๆ อีก แล้วเราไปดู พื้นที่ในเขตบางนา สีม่วงที่ท่านเห็นนั้นคือพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในครอบคลุมของสถานีดับเพลิง ที่จะเข้าถึงจุดเกิดเหตุภายใน ๘ นาทีตามมาตรฐานสากล ส่วนรัศมีสีเขียวที่เห็นนั้นคือสถานี ดับเพลิงต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงจะเห็นว่าไม่มีสถานีใกล้เคียงของเขตบางนาถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะบริเวณถนนบางนา-ตราด และซอยสุขุมวิท ๑๐๕ (ซอยลาซาล) เราจะไปดูประชากรหรือผังเมือง ผังสีส้มนั้นเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตบางนา ซึ่งเป็นพื้นที่ ชุมชนเมืองและอุตสาหกรรม จะเห็นว่าเมื่อพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรมอยู่ด้วยกันแล้ว มีโอกาสสูงมากที่จะเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย โดยเฉพาะวัตถุไวไฟในโรงงานอุตสาหกรรม
ฉะนั้นเราจึงต้องไปถามจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ทราบว่าเขากำลังหาพื้นที่ตั้งสถานีย่อยเพิ่มเติม ซึ่งสำรวจแล้วพบว่า อยู่บริเวณความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จึงขอความอนุเคราะห์หมวดทางหลวงบางนา กม. ๔ ถนนบางนา-ตราด กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้จัดสรรพื้นที่ขนาด ๒ งาน ให้กับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในการดำเนินการ จัดตั้งสถานีดับเพลิงย่อยตามหนังสือเลขที่ กท ๑๘๐๕ (๑) ด้วยครับ ขอบคุณครับ ท่านประธาน
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ ผู้แทนเขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ขออนุญาตร่วมสนับสนุนญัตติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับรถบรรทุกและส่วย หรือพูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในวิกฤติของรถบรรทุกซึ่งมีปัญหาทั้งในเรื่องของกฎหมาย ที่ไม่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ทันต่อยุคทันต่อสมัย ซึ่งทุกวันนี้เรายังมี พ.ร.บ. การจราจร ทางบก ซึ่งมีมาตั้งแต่ ปี ๒๕๒๒ ก็ถือว่าทุกวันนี้เรายังใช้ตัวนี้บังคับใช้กันอยู่นะครับ เขตบางนา ของผมนั้นมีพื้นที่ที่ต้องพูดถึงว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจของการขนส่ง โดยเฉพาะรถบรรทุก เพราะถนนบางนา-ตราดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการขนส่งรถบรรทุกที่เขตบางนาของผมนี้ ฉะนั้นปัญหาเรื่องรถบรรทุกมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่มีถนนบางนา-ตราด และถนนหลายเส้น ถนนสุขุมวิทก็อีกปัญหาหนึ่งซึ่งวิ่งไปทางตะวันออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมมาดูแล้วปัญหาเรื่อง น้ำหนักเกินเอย ส่วยเอย เรื่องวิ่งนอกเวลาตามเวลากำหนด ปัญหามันเกิดขึ้นอยู่ ๒-๓ จุดนะครับ ท่านประธาน
ส่วนแรก คือเรื่องจากตัวผู้ขับขี่เอง จากตัวผู้ขับขี่หมายความว่าผู้ขับรถบรรทุกเอง อาจจะละเมิดกฎหมายด้วยเจตนาของตนเอง หรือด้วยข้อบังคับที่จะต้องวิ่งให้ได้รอบ หรือวิ่ง ให้ได้ตามที่กำหนดนะครับ ส่วนนี้เองก็เป็นส่วนของความรับผิดชอบของผู้ขับขี่ แน่นอนครับ ก็มีกฎหมายเปรียบเทียบปรับ กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของการบังคับใช้กับผู้ขับขี่ อันนี้เราต้อง ยอมรับว่ามีอยู่นะครับ
ส่วนที่ ๒ คือเกี่ยวกับส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งแน่นอนครับ ส่วนนี้เองก็จะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของที่เราใช้คำว่าส่วยเข้ามา ซึ่งส่วยก็จะมี ๒ ประเภท ส่วยบนดินกับส่วยใต้ดิน ส่วยบนดินคืออะไรครับ คือการที่ยอมจ่ายค่าปรับตามกฎหมายกำหนด จะวิ่งนอกเวลา จะวิ่งน้ำหนักเกินก็ใช้วิธีการออกใบสั่ง จ่ายค่าปรับกันไปก็ถือว่ารอดกันไป แต่ส่วยใต้ดินอันนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นตัวเลขเท่าไร ต่อรอบ หรือต่อเหมา ๑ เดือน ๒ เดือน ๑ ปีก็ว่ากันไป อันนี้ต้องยอมรับว่ามันมีปัญหาในส่วนนี้
ส่วนที่ ๓ คือส่วนของนายจ้างนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนสมาชิกหลายท่าน พูดถึงว่านายจ้างเองก็มีส่วนรับผิดชอบ แต่กฎหมายยังไม่อาจเอื้อมถึงได้เนื่องจากว่ามีช่องโหว่ ทางกฎหมายอยู่ เราพูดกันถึงแค่ ๓ ประเด็นนี้ ผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย และนายจ้าง แต่เราลืมพูดไปถึงอีก ๑ คนที่มีส่วนสำคัญ คือผู้ว่าจ้างครับท่านประธาน ผู้ว่าจ้างเองก็มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้การละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น เพราะว่ามีเหตุผลปัจจัยทางการค้าเรื่องการคุ้มทุน บางครั้ง ผู้รับจ้างก็ไม่อยากที่จะบรรทุกน้ำหนักเกินหรอกครับ แต่ทำไมต้องบรรทุกเกิน เพราะว่า มันมีเหตุผลต้นทุนของการขนส่ง เนื่องจากผู้ว่าจ้างก็อยากให้บรรทุกรอบเดียวด้วยราคาเท่านี้ แต่ถ้าบรรทุกน้อยกว่านี้เขาต้องบรรทุกหลายเที่ยวก็จะเป็นภาระแก่ผู้ประกอบการที่เป็น ผู้ว่าจ้าง แต่กฎหมายก็ไม่ไปถึงตรงนี้นะครับ อย่าว่าแต่ผู้ว่าจ้างเลย เจ้าของบริษัทรถบรรทุก ก็ยังไม่ถูกดำเนินคดีได้ เนื่องจากว่าจบไปที่ขั้นตอนของผู้ขับขี่ไปแล้ว นี่คือความล้าสมัย ของกฎหมายของเราที่จะต้องนำไปพิจารณาศึกษากัน เขตบางนานอกจากมีเรื่องของ รถบรรทุกที่บรรทุกเกินแล้ว ยังมีเรื่องของการวิ่งในเวลาห้ามวิ่งตามข้อบังคับของเจ้าพนักงาน จราจรทั่วราชอาณาจักร อาศัยความตาม พ.ร.บ. จราจรกำหนดเขตหลายจุดในพื้นที่ กทม. ชั้นในนะครับ มีกำหนดว่าหกล้อ เกินหกล้อห้ามวิ่งกี่โมง ถึงกี่โมง รถสิบล้อห้ามวิ่งกี่โมง ถึงกี่โมง รถพ่วงห้ามวิ่งกี่โมงถึงกี่โมง ผมท้าเลยครับว่าให้เราไปดูได้นะครับ ฝากท่านประธาน ไปดูได้เลยครับว่าในเขตบางนาหรือเขตหัวเมืองชั้นนอกของกรุงเทพมหานครมีหลายจุด ที่รถบรรทุกวิ่งได้เกือบตลอดเวลา โดยยอมจ่ายค่าปรับเป็นครั้ง ๆ หรือจะจ่ายเป็นรายเดือน อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลายเป็นเรื่องปกติ เวลาเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นมานะครับท่านประธาน ตอนนี้ยังมีคดีค้างคาอยู่ในเขตของผมนี้หลายคดี เกิดอุบัติเหตุ เฉี่ยวชนกันขึ้นมา เนื่องจากว่ารถบรรทุกบรรทุกน้ำหนักที่มากพอแล้ว ด้วยการบังคับ ก็ยากแล้ว ถนนในกรุงเทพมหานครท่านไปดูสุขุมวิท โอ้โฮ รถในช่วงเวลาเร่งด่วนเป็นอะไร ที่สาหัสสากรรจ์พอสมควร ฉะนั้นเมื่อมีการเฉี่ยวชนขึ้นปุ๊บมีผู้เสียชีวิต กลายเป็นว่าถูกดำเนินคดีแค่ผู้ขับขี่ และเผลอ ๆ คู่กรณีซวยด้วย โดนดำเนินคดีไปด้วยก็มีหลาย Case หลายกรณี นี่คือเกิดขึ้นได้แค่นี้ ดำเนินคดีกันได้แค่นี้ นอกนั้นไม่มีทางไปถึงผู้ว่าจ้างหรือเจ้าของบริษัท นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ใช่แค่ในกรุงเทพมหานคร จึงอยากเรียน ท่านประธานสภาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นปัญหาที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะกฎหมายที่ยังไม่อาจก้าวทันเกี่ยวกับเรื่องของการขนส่งในปัจจุบัน และการบรรทุก ที่รถบรรทุกมีการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถของรถบรรทุกซึ่งเพิ่มทั้งน้ำหนัก เพิ่มทั้ง เครื่องยนต์ขึ้นมาในทุกวันนี้ อย่างไรก็แล้วแต่ฝากท่านประธานไปยังเพื่อนสมาชิก ทุกท่านว่าผมขอสนับสนุนญัตตินี้เพื่อให้เข้าสู่วาระการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขอขอบคุณท่านประธานครับ
เรียนท่านประธานสภาครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ ผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ท่านประธานครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญก็เลยทำเรื่องถามกระทู้สดนี้ถึงท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งแน่นอนครับ ตามข้อบังคับการประชุมสภา ท่านนายกรัฐมนตรีก็ควรที่จะมาตอบคำถามเรื่องนี้ในสภา ผู้แทนราษฎรแห่งนี้ในทุกวันพฤหัสบดี ซึ่งเรามีเรื่องนี้ต้องหารือกันในทุกวันพฤหัสบดี เรื่องนี้เข้าใจตรงกัน แต่แล้วทำไมท่านนายกรัฐมนตรีเลี่ยงที่จะมาตอบคำถามเรื่องนี้ โดยเฉพาะเป็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ และไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งแรก ท่านนายกรัฐมนตรีเลื่อนมาแล้วหลายรอบครับท่านประธาน และมันทำให้เสียโควตา การตั้งกระทู้ถามนี้กับทางสภาผู้แทนราษฎร จึงอยากจะเรียนปรึกษาหารือท่านประธานสภา ว่าครั้งหน้า ครั้งถัดไปท่านนายกรัฐมนตรีจะมาได้หรือไม่ หรือท่านประธานได้มีการทำหนังสือ ถึงท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อท้วงติงเรื่องนี้หรือไม่ ที่สำคัญคือท่านนายกรัฐมนตรีต้องชี้แจง เหตุผลด้วยว่าทำไมวันนี้ถึงต้องเลื่อนและมาไม่ได้ แล้วดูสิครับมอบรองนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีมอบรัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีว่าการมอบรัฐมนตรีช่วยว่าการ ยังไม่มีใคร มาตอบเลยครับ แบ่งกันเป็นแชร์ลูกโซ่แบบนี้หรือครับ หรืออย่างไรครับ ฉะนั้นต้องขอให้ มีคำตอบเรื่องนี้ แล้วก็ฝากท่านประธานทำหนังสือถามด้วยครับ
ท่านประธานครับ ขออนุญาต ใช้สิทธิพาดพิงเช่นเดียวกันครับ
คือผมกำลังบอกว่าเรื่องกระทู้ถามนี่ กระทู้ถามสดทุกวันพฤหัสบดีท่านนายกรัฐมนตรีก็ต้องมาทุกสัปดาห์ อันนี้เข้าใจว่า ท่านอาจจะไม่สะดวกบางสัปดาห์ แต่ไม่ใช่ว่ามอบหมายคนที่มาไม่ได้อยู่แล้วอย่างนี้ อันนี้ก็ไม่ใช่ มอบหมายถึงขนาดรัฐมนตรีช่วยว่าการยังมาไม่ได้ ผมว่าอันนี้ไม่ใช่ปกติแล้วครับ หรือมีส่วนได้เสียอย่างไรกับเรื่องที่ผมจะตั้งกระทู้ถามหรือเปล่าต้องถามกันอย่างนี้ละครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล วันนี้ขอ อภิปรายสนับสนุนญัตติของเพื่อนสมาชิก ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแก้ไขปัญหาการดูแลเด็ก เยาวชนและความมั่นคงของสถาบันครอบครัว จริง ๆ แล้วผมอ่านเนื้อหาภายในกับชื่อญัตติอาจจะแตกต่างกัน ก็เลยเข้าใจว่าเป็นเรื่องของ การพูดถึงเรื่องของเด็กและเยาวชนเป็นหลัก แต่เมื่อเราไปอ่านหลักการก็จะทราบว่าเนื้อหา จะเป็นเรื่องของการชุมนุมทางการเมือง การมีแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมที่เป็นเยาวชน ได้เกิดขึ้นระหว่างปี ๒๕๖๓ จนถึงปัจจุบัน จนเกิดเหตุความรุนแรงระหว่างผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ อารักขาและควบคุมฝูงชนและประชาชนอยู่หลายครั้ง ลักษณะเนื้อหาเป็นตามนี้ ผมเอง ก็เตรียมเนื้อหาเพื่อจะเข้าถึงญัตตินี้ตามหลักการและเหตุผลครับท่านประธาน แต่แล้วเมื่อฟัง ผู้อภิปรายที่ยื่นญัตติได้อภิปรายในแนวทางอีกแนวทางหนึ่งผมเองก็คงจะมีเรื่องได้พูดคุย สนับสนุนในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกันครับท่านประธาน ต้องยอมรับครับว่ารอบนี้ญัตติลักษณะเนื้อหาตามหลักการนี้ ผมเป็นหนึ่งในผู้เสนอญัตติ เกี่ยวกับการตั้งการแสวงหาข้อเท็จจริงในฐานะญัตติเกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงการสลายการชุมนุมตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ ถ้าท่านผู้เสนอญัตติเห็นด้วยก็รอ อภิปรายสนับสนุนญัตติของผมได้ในสัปดาห์ต่อไปนะครับ ฉะนั้นแล้วเรื่องญัตตินี้ผมขอเสนอ ความเห็นสั้น ๆ เล็กน้อยเพิ่มเติมดังนี้นะครับ เด็กและเยาวชนจริง ๆ แล้วผมมองว่าปัญหา แตกต่างจากสมัยของพวกเรา เพื่อนสมาชิกท่านได้อภิปรายไปล่าสุดนี้ท่านบอกว่าในอดีต กับในปัจจุบันไม่ได้เป็นอย่างนั้น จริงครับ แต่ปัจจุบันนี้เราอย่าเพิ่งไปมองว่าเด็ก หรือการพัฒนาของเด็กในยุคนี้แตกต่างจากท่านแล้วเด็กเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ประสบ ความสำเร็จ หรือเป็นผู้ที่มีปัญหา เด็กทุกวันนี้ สมัยทุกวันนี้ผมเชื่อว่าเขาเข้าถึงแหล่งข้อมูล เขาเข้าถึงแหล่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้มากกว่าเราครับ เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ รวดเร็วกว่าเราเยอะมาก ฉะนั้นแล้วการที่พวกเขาได้มีโอกาสมากกว่าเรานั้นจึงเป็น เรื่องที่เราควรจะไปมองในเรื่องของการสนับสนุนและแก้ไขปัญหาให้พวกเขาในเรื่องของ การได้รับโอกาสเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่ว่าจะไปใช้กลไกอำนาจรัฐ อย่างเดียว ไม่ใช่ไปมองว่าต้องไปผ่านกระบวนการศึกษา ผ่านกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียว ไม่ใช่ไปมองว่าเป็นการต้องออกกฎหมายมาบังคับหรือมาแก้ไขปัญหาอย่างเดียว ฉะนั้นเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเรามีวิธีคิดที่แตกต่างกันนะครับ ฉะนั้นเรามาพูดคุยกันในสิ่งนี้จึงขอสนับสนุนญัตติ ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นครับท่านประธานก็สุดแล้วแต่ท่านผู้อภิปราย จะนำเสนอต่อ แต่ผมยืนยันว่าเรื่องนี้ผมเห็นด้วยและสนับสนุนญัตตินี้เพื่อให้เราได้ร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน ผมขอจบการอภิปรายเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ขอร่วม อภิปรายสนับสนุนและตั้งคำถาม รวมถึงพูดคุยในสภาแห่งนี้ในญัตติเรื่องการเสนอ การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร ก่อนอื่นผมต้องบอก ก่อนว่าบ่อนการพนันที่เราเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ หรือการพนันที่แล้วเล่นกันเป็นกลุ่ม เป็นคณะนั้น หลายครั้งไม่ได้อยู่ในที่มิดชิด ไม่ได้อยู่ในที่ปกปิด หรืออยู่ในเคหสถานอย่างที่ เราเข้าใจในทุกวันนี้ ฉะนั้นแล้วเราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานั้นก็มีการละเล่นแบบนี้ ตามประเพณี ตามความนิยมของสังคมในแต่ละภูมิภาค อย่างเช่นกรณีงานวัด หรือแม้กระทั่ง ตลาดนัดก็ตามแต่ อย่างที่เราทราบกันที่เป็นข่าวล่าสุด ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มี การไปคัดค้าน แต่ไม่ได้คัดค้านเพราะว่ามันเป็นเรื่องของการผิดกฎหมายแต่อย่างเดียว แต่ปัจจุบันนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องผิดกฎหมาย หรือผิด พ.ร.บ. การพนัน แต่เป็นเรื่องของ การฉ้อโกงหรือต้มตุ๋นมากกว่าครับท่านประธาน มีเรื่องของการหลอกล่อ ต้มตุ๋น และอาศัย ช่องโหว่ทางกฎหมายใช้เพื่อการโกงพี่น้องประชาชน ขอ Slide ด้วยครับ
เรื่องนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ของผมว่าพอเราคิดว่าเป็นตลาดนัด ข้างหน้าก็เป็นตลาดทั่วไปนะครับ เป็นร้านค้าร้านขาย เป็นการเล่นบันเทิง ผมจะเรียกว่ากาสิโนแบบ Open Air ก็ได้ท่านประธานครับ เปิดเผยเลยครับ เดินเข้าไปมีการละเล่น ค้าขาย สุดท้ายแล้วเข้าไปด้านไหนลึก ๆ ครับ เป็นวง เป็นซุ้มครับท่านประธาน ที่แน่ ๆ ก็คือว่าที่เห็นยืนล้อมวงอยู่นั่นนะครับ ยื่นเล่นกันอยู่ เปิดเผยโล่งโจ้งแบบนี้ในกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปครับท่านประธาน แต่กลับ เป็นกลุ่มหน้าม้าที่ทำกันเป็นขบวนการ นี่คือผังที่ผมต้องยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปดูการเล่นนี้ หลายเดือน ติดตามพฤติกรรมของกลุ่มลักษณะอย่างนี้ที่มีการจัดทุกเดือนครับ ก็จะมีที่เห็น สีส้ม ๆ ผมขอเรียกนายส้มก็แล้วกัน ส่วนนายเหลือง สีเหลือง ๆ นั่นก็คือเป็นหน้าม้านะครับ แล้วนายแดงเป็นเจ้ามือ ส่วนน้ำเงินนั้นเป็นตัวเล่นหลักครับท่านประธาน พอนายส้มเดินผ่าน เขาเรียกหมูครับ หมูมาแล้วจะทำอย่างไรให้หมูเข้าคอก นายเหลืองก็จะพยายามตะล่อม ให้นายส้มเข้าไปในวง สุดท้ายแล้วคนที่ชักชวนหลักก็จะเป็นนายน้ำเงิน ทั้งหมดนี้ก็จะร่วมกัน โกงนายส้มคนนี้ ทั้ง ๆ ที่นายส้มก็ไม่ได้มีเจตนาจะไปเล่นการพนันหรอกครับ เพราะเขาเข้าใจว่า นี่เป็นการเล่นอย่างถูกกฎหมาย เนื่องจากว่ามันมาเปิดกลางเมืองอย่างนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญคือก่อนจะไปถึงซุ้มลักษณะอย่างนี้นะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเจอปาเป้า ปาโป่ง ซึ่งแน่นอนครับ ปาเป้า ปาโป่งก็เป็นการพนัน ใน พ.ร.บ. การพนันนะครับ แต่ว่าอยู่ในส่วน ของหมวดของ ข. ก็คือต้องขออนุญาตนะครับ คราวนี้พอเราไปดูต่อไปครับจะเห็นว่าคุณไม่มีทาง ที่จะเล่นชนะเขาได้เลย เพราะสุดท้ายเจ้ากินรวบครับ เจ้ามือนะครับกินรวบ เพราะว่าอะไร เขาจะหลอกล่อคุณลงคุณเล่น สุดท้ายแล้วเจ้ามือกดสวิตช์ปุ่มเดียวครับ กล่องสีดำ ๆ ที่อยู่ ใต้โต๊ะนั่นละครับ จะทำหน้าที่พลิกเหรียญทันทีเลย ภาพที่เห็นอยู่นี้คือวงเขาเรียกว่าซาโป้ย ซาโป้ยก็คือ ๓ กับ ๘ เหรียญหมุน ๆ แล้วก็ครอบลง ออก ๓ ออก ๘ เจ้ามือก็จะให้เราลง เดิมพัน จบแล้วเขาก็กดสวิตช์พลิกเหรียญทันที นี่คือตัวอย่างครับ ผมไปยืนดูนานเลย ต่อไปครับ นี่คือเหตุผลที่ผมกำลังบอกว่าสุดท้ายแล้วเรามีกฎหมาย พ.ร.บ. การพนัน เรามีกฎหมายท้องถิ่นมากมายให้ขออนุญาต สุดท้ายแล้วก็ออกช่องโหว่ทุกเรื่อง ผมก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังหลับหูหลับตาช่วยเหลือ กันอย่างไร หรือไม่ และที่สำคัญก็คือว่าพอมีการขออนุญาตกลับกลายเป็นกฎหมายเพื่อเอื้อให้ เกิดส่วยใต้ดิน มากกว่าที่จะเป็นการยับยั้ง โดยเฉพาะการฉ้อโกงด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่การพนัน อย่างเดียว การพนันยังเป็นการเสี่ยงดวง เสี่ยงโชคใช่ไหมครับ แต่นี่เป็นการฉ้อโกงต้มตุ๋น ผิดกฎหมายอาญาแน่นอนแต่กลับเปิดได้กลางเมือง นี่เป็นสิ่งที่เราเห็นประจักษ์กับตาตัวเอง
ฉะนั้นสุดท้ายนี้ผมจึงขอเสนอ ถ้าหากว่าจะมีการสนับสนุน กมธ. ชุดนี้เข้าไป ดำเนินการต่อไป ก็ฝากให้พิจารณาเรื่องนี้ด้วยว่าการพนันหรือกิจกรรมที่เกิดขึ้น การเล่น ตามประเพณีนี้มีความละเอียดอ่อนและมีรายละเอียดมากมาย ไม่ใช่แค่เป็นกาสิโนอย่างเดียว ก็ฝากด้วยครับว่าต่อให้มีกาสิโนที่ถูกกฎหมาย การเล่นเหล่านี้ก็ยังถูกจัดอยู่ในลักษณะของ ประเพณี ซึ่งจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ของการพนันเช่นเดียวกัน ฉะนั้นฝากท่านประธาน ไปสู่คณะกรรมาธิการต่อไป ขอบคุณมากครับท่านประธาน
ท่านประธานครับ ขออนุญาตหารือ ปิยรัฐ สั้น ๆ ครับ
ใช่ครับ ถูกต้องครับท่านครับ
เรียนประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ท่านประธานครับ ผมฟังท่านผู้อภิปรายได้อภิปรายเรื่องญัตติราคากุ้งตกต่ำ ผมเป็น ๑ ในผู้ที่ช่วยเหลือเกษตรกรเรื่องกุ้งจนถูกดำเนินคดีเพราะช่วยเกษตรกรขายกุ้ง ที่สนามหลวง ฉะนั้นผมเห็นความสำคัญเรื่องนี้มากครับ แล้วที่สำคัญคือเรื่องสินค้า เกษตรตกต่ำก็เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อวานนี้
เพื่อนสมาชิกได้ให้ความสำคัญ เรื่องนี้ ผมก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้ท่านประธาน ฉะนั้นผมขออย่างนี้ครับท่านประธาน เพื่อเห็นแก่สภาแห่งนี้ว่าทุกคนให้ความสำคัญเช่นเดียวกับพรรคก้าวไกลของเรา ผมขอเสนอ ญัตติให้มีการนับองค์ประชุมครับท่านประธาน ขอผู้รับรองครับ
ผม ปิยรัฐ จงเทพ ผู้เสนอญัตติครับ
ท่านประธานครับ ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ท่านประธานครับ เรียนสมาชิกทุกท่าน ท่านที่บอกว่าขอร้องให้พวกเรานั้นร่วมให้ความสำคัญ แน่นอนครับ เราให้ความสำคัญ แต่ท่านควรไปขอร้องเพื่อนของท่านต่างหากที่จะมาเข้าร่วม ประชุม เพื่อให้เห็นแก่ความสำคัญญัตติของท่านเองครับ ขอบคุณครับ
ท่านประธานครับ ผมขอประท้วง ท่านประธานและประท้วงผู้อภิปรายครับ ไม่แน่ใจว่าขณะนี้เราอภิปรายได้หรือเปล่าครับ ขอประท้วงผู้อภิปรายตอนนี้ครับ ไม่แน่ใจว่าเราอภิปรายได้อยู่หรือเปล่าครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ผม นายปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล วันนี้ผมขอเสนอญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษามาตรการควบคุมฝูงชน และแสวงหาข้อเท็จจริงการสลายการชุมนุม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์การชุมนุมของเยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๕ ด้วยหลักการและเหตุผลดังต่อไปนี้
เนื่องจากว่าการชุมนุมที่ผ่านมาเราสังเกตว่าปี ๒๕๖๓ จนถึงปี ๒๕๖๕ นั้น เป็นช่วงที่มีการชุมนุม การตื่นตัว และการออกมาเรียกร้องของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน คนหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก และมีตัวเลขการชุมนุมที่ถี่มากในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมา ทำให้เรา ทราบว่าการชุมนุมใน ๓ ปีนั้นเป็นการชุมนุมที่มีจำนวนการชุมนุมจำนวนครั้งมากในรอบ หลายทศวรรษด้วยซ้ำไป โดยเนื้อหาใจความของการเรียกร้องการชุมนุมที่ผ่านมานั้นก็มี หลากหลายประเด็น หลากหลายเนื้อหา หลากหลายข้อเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้อง เพื่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเมืองการปกครอง เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถึงเรียกร้องให้หยุดการสืบทอดอำนาจ ของคณะ คสช. หรือรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฉะนั้นข้อเรียกร้องเหล่านี้ ก็มาจากหลากหลายกลุ่ม หลากหลายองค์กร มีการชุมนุมต่อเนื่องยาวนาน และมีการชุมนุม หลายครั้งหลายครา และทุกครั้งนั้นก็จบลงด้วยทั้งในรูปแบบของการสลายด้วยตัวเอง และการสลายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ แน่นอนครับ ที่ผมพูดวันนี้ ผมไม่ได้เจาะจง หรือจงใจให้ร้าย หรือว่าร้ายกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่ง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างเดียวครับ แต่ในหัวข้อนี้เราต้องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้เพื่อศึกษาร่วมกัน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และคณะรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการที่เป็นมาตรการที่เป็นที่ยอมรับ และเป็นสากลที่สุด ให้เราได้รู้ว่ามาตรการใดเป็นมาตรการที่ใช้ในการควบคุมการชุมนุม หรือควบคุมจำกัดขอบเขตของการชุมนุมให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนและตามหลักการสากล ที่ได้รับการยอมรับ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลและผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัยหลังจากนี้ ในการศึกษาและถอดบทเรียนเหล่านี้มาใช้ให้เหมาะสมที่สุดต่อสถานการณ์สังคมในยุค ปัจจุบัน ที่ผ่านมานั้นท่านประธานเราจะเห็นว่าการสลายการชุมนุมแต่ละครั้งนั้น นอกจาก คงไว้ซึ่งบาดแผล ความเจ็บปวด และปัญหาตามมาอีกมากมาย ที่สำคัญยังคงไว้ซึ่งปัญหา สะสมให้เป็นการบั่นทอนกำลังใจของประชาชนในการต่อสู้กับภาครัฐแล้วนำมา ซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าว ที่สำคัญครับท่านประธาน ความเจ็บปวดนี้จะไม่ได้รับการยุติง่าย ๆ หากไม่มีกระบวนการยุติธรรมออกมาแสวงหาข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วเราไปดูสถิติกันครับ ท่านประธาน ขอ Slide ครับ
เราไปดูสถิติการที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมา ปี ๒๕๖๓ ปี ๒๕๖๔ และปี ๒๕๖๕ นั้น มีการชุมนุมเกิดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ ๗๙๙ ครั้ง และไปดูปี ๒๕๖๔ สิครับ พุ่งขึ้นไป ๑,๕๑๖ ครั้ง แล้วค่อย ๆ ลดลงในปี ๒๕๖๕ ๗๖๓ ครั้ง ซึ่งตัวเลขนี้มีมากรวมกันกว่า ๓,๐๐๐ ครั้ง ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากในรอบหลายสิบปีเลย ซึ่ง ๕๐ เปอร์เซ็นต์นั้น เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๔ การชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมานั้นก็มีทั้งที่ผมกล่าว ไปแล้วว่ายุติด้วยตัวเอง และถูกสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ไปดูปี ๒๕๖๓ ถูกสลาย การชุมนุมไปทั้งหมด ๗ ครั้ง และปี ๒๕๖๔ นั้น ถูกสลายการชุมนุมไปถึง ๖๐ ครั้ง ปี ๒๕๖๕ ถูกสลายการชุมนุมไป ๗ ครั้ง และลดลง ปี ๒๕๖๖ ที่ผมไม่ได้นำมาศึกษานี้ ก็เพราะว่าปี ๒๕๖๖ เราไม่ได้มีการสลายการชุมนุมหรือมีการชุมนุมครั้งสำคัญใด ๆ จึงจบ ไปที่ปี ๒๕๖๕ ต่อไปครับ ทุกการสลายการชุมนุมนั้นก็จะมีมาตรการของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเรา เรียกว่าการใช้กำลังของกลุ่มหรือคณะบุคคลซึ่งรัฐบาลมอบหมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ซึ่งมีหน่วยควบคุมฝูงชนอยู่ภายใต้สังกัด หน่วยควบคุมฝูงชนนี้ก็จะอาศัยอำนาจ ที่รัฐบาลมอบหมาย หรือหน่วยงานมอบหมายให้เข้ามาดำเนินการสลายการชุมนุม ด้วยทั้ง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา รถแรงดันสูง หรือรถฉีดน้ำแรงดันสูง จนถึงรถแรงดันน้ำที่ผสมสารเคมี เราจะเห็นว่าการใช้กระสุนยางมากถึง ๒๙ ครั้ง การใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงถึง ๑๖ ครั้ง การใช้ แก๊สน้ำตา ๑๓ ครั้ง และมีการใช้สารเคมีถึง ๕ ครั้ง ซึ่งมาตรการเหล่านี้เราไม่รู้เลยว่า ใครสั่ง และสั่งด้วยมาตรการที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล หรือแม้กระทั่งตามหลัก สิทธิมนุษยชนหรือไม่
ทุกการสลายการชุมนุมนำมาซึ่งอะไร นอกจากเปลืองงบประมาณแล้วก็เกิด ความขัดแย้งเพิ่มเติม ขยายรอยร้าวเกิดขึ้น เรายังมีผู้บาดเจ็บครับ ที่ผมต้องพูดตัวเลข ผู้บาดเจ็บนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายผู้ชุมนุม เห็นไหมครับ ผมบอกแล้วว่าการมาพูดถึงตรงนี้เราไม่ได้มา โทษเฉพาะผู้ชุมนุม หรือมาโทษเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือรัฐบาล อย่างเดียว เรากำลังจะพูดข้อเท็จจริงนะครับ เราเห็นว่าตำรวจบาดเจ็บถึง ๑๔๖ นาย เอาเฉพาะปี ๒๕๖๔ นะครับ เพราะว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดแล้วในรอบ ๓ ปีนั้น ผู้ชุมนุม บาดเจ็บกัน ๓๘๒ คน มีผู้เสียชีวิตอีก ๑ คน อันนี้เฉพาะปี ๒๕๖๔ มีผู้ชุมนุมต้องสูญเสีย ดวงตาไปจำนวน ๒ ราย และนักข่าวหรือผู้สื่อข่าวบาดเจ็บไปถึง ๒๙ ราย และตลอด ๓ ปี คือปี ๒๕๖๓ ถึงปี ๒๕๖๕ นั้น เราต้องสูญเสียชีวิตไปถึง ๔ ราย และมีผู้บาดเจ็บรวมกัน มากกว่า ๑,๐๐๐ ราย จากสถิติตัวเลขนี้เรายังได้ไปพบว่ายังมีผู้ต้องคดีทางการเมือง และความคิดตามมาอีกเป็นจำนวนมาก เป็นภาระต่อไปให้กระบวนการยุติธรรมที่ต้องไป พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงกันยาวนานหลายปี จนกระทั่งปัจจุบันยังมีคดีค้างคาอยู่เป็น จำนวนมาก เพราะเรามีคดีอย่างน้อยเกิดขึ้นในช่วง ๓ ปีนั้นถึง ๑,๙๒๕ คน และมีคดีรวมกว่า ๑,๒๔๑ คดี ที่สำคัญคือมีผู้ต้องคดีเข้าออกคุก เข้าออกเรือนจำอยู่ ๑๐๐ กว่าราย คือ ๑๔๕ ราย ปัจจุบันยังมีผู้ต้องคดีทางการเมืองและความคิดสูงถึง ๒๖ รายที่ยังถูกจองจำ อยู่ในเวลานี้ ในจำนวนนั้น ๑,๐๐๐ กว่าราย มีเยาวชนหรือเด็กที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ถูกดำเนินคดีถึง ๒๘๖ คน ในจำนวนนี้มีเด็กอายุ ๑๔ ปีด้วยนะครับ
เราจะมาชมว่าสิ่งที่ผมพูดมานั้นเป็นมาตรการการสลายการชุมนุมหรือไม่ และถูกต้องตามมาตรฐานสากลหรือไม่ นี่เป็นคำถามที่เราต้องมาคุยกันเพื่อหามาตรการกลาง ร่วมกันว่ามันเหมาะสมหรืออย่างไร หรือมีตัวอย่างมาตรฐานใดที่ใช้ในต่างประเทศ มาดู ตัวอย่างครับ เราจะเห็นกันว่าภาพถ่ายจาก UDD News นี้ เหตุเกิดขึ้นในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ บริเวณหน้าโรงพยาบาลตำรวจ เราเห็นไหมครับว่าจุดที่เกิดนี้เจ้าหน้าที่ กำลังใช้อาวุธลักษณะคล้ายปืนยิงไปทางฝั่งของผู้ชุมนุม ซึ่งอยู่ห่างจากแนวของผู้สื่อข่าว ไม่เกิน ๑๐ เมตร กระทำการต่อหน้าผู้สื่อข่าวเช่นนี้ แล้วอยู่ห่างจากรัศมีการใช้อาวุธปืนไม่ถึง ๑๐ เมตร ทำให้เกิดการสูญเสีย บาดเจ็บ ผมจำเหตุการณ์นี้ได้ครับ มีผู้บาดเจ็บสาหัส ๒ ราย สาหัสนะครับ ต้องส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งโชคดีที่โรงพยาบาลมีความทันสมัยและมี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจึงสามารถช่วยชีวิตได้ทัน อันนี้ก็ต้องตั้งคำถามครับว่า มาตรการอย่างนี้ถูกต้องตามหลักการสลายการชุมนุมหรือไม่ ต่อไปเราจะไปชม Clip กันว่า เหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ บริเวณดินแดง วิภาวดีรังสิต ท่านประธานครับ จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่แต่งตัวพร้อมชุดปฏิบัติการ อาวุธครบมือที่ใช้ใน การสลายการชุมนุมนี้ พยายามใช้ปืนหรืออาวุธลักษณะคล้ายปืนนั้นยิงไปที่ผู้ที่สัญจรไปมา ที่ถนนยังเปิดโล่งปกติ ไม่มีการกั้นถนน หรือปิดการจราจร มีประชาชนที่สัญจรไปมา โดยทั่วไป แต่เจ้าหน้าที่ยังใช้กำลังบังคับโดยการใช้อาวุธคล้ายปืนนั้น ผมไม่ทราบว่า เป็นกระสุนจริงหรือกระสุนยาง เราไม่สามารถทราบได้เลยเพราะเราแยกอาวุธปืนของ เจ้าหน้าที่ไม่ออก และลักษณะนี้ยิงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของประชาชนที่สัญจรไปมา ซึ่งแยกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นผู้มาชุมนุม ผู้มาก่อเหตุร้าย หรือประชาชนทั่วไปที่ใช้รถ ใช้ถนนสัญจรไปมา จ่อยิงไปอย่างนั้น นี่คือมาตรการการสลายการชุมนุมที่รัฐไทยยอมรับ หรือไม่ หรือเป็นมาตรการสากลที่ถูกระบุไว้ในแผนของควบคุมฝูงชนของประเทศเราหรือไม่
ต่อไปครับ เห็นไหมครับว่านี่คือเหตุการณ์บริเวณแยกดินแดนอีกเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนอยู่บริเวณจุดสูงข่ม อันนี้ภาษาทางยุทธการของเขา เขาเรียกว่า จุดสูงข่ม คือจุดที่อยู่เหนือกว่าประชาชนแล้วสามารถหลบซ่อนได้ เช่นตามรางรถไฟฟ้า หรือตามบริเวณทางด่วน ยิงกระบอกแก๊สน้ำตาลงมาใส่ประชาชน ทำให้มีผู้ต้องสูญเสีย ดวงตาไป เหตุนี้ก็เป็นเหตุที่หลายคนเป็นที่ประจักษ์ว่าเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ และผม เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเองก็น่าจะเข้าใจหัวอกสถานการณ์นี้ไม่น้อยไปกว่าผมในเวลานี้ เนื่องจากเหตุการณ์ลักษณะนี้คล้ายเหตุเกิดในปี ๒๕๕๓
ถัดไปครับ กระบอกแก๊สน้ำตาที่เห็นอยู่นี้ไม่ได้ไปเอารูปมาจาก Internet ไม่ได้ไปเอารูปมาจากสื่อมวลชนหรือสำนักข่าวไหนทั้งนั้น นี่เป็นกระบอกแก๊สน้ำตาที่ผม เก็บเองด้วยมือของผมในสถานการณ์ที่มีการสลายการชุมนุม ท่านจะเห็นว่ากระบอก แก๊สน้ำตาพวกนี้เกลื่อนถนนไปหมดในวันที่มีการสลายการชุมนุมทุกครั้ง ไม่ทราบว่า มีการเบิกมาจำนวนเท่าไร ไม่ทราบว่ามีการใช้จำนวนมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญ ท่านสังเกตไหมครับว่าบริเวณกระบอกแก๊สน้ำตานั้นไม่มี Code Name ไม่มี Serial Number ไม่มีภาษาอะไรเลยระบุว่านี่เป็นอุปกรณ์อะไร เบิกจ่ายเมื่อไร จำนวนสารเคมี คืออะไร และที่สำคัญ วันผลิต วันหมดอายุ เราไม่ทราบเลย ซึ่งเอามาใช้กับประชาชนอย่างนี้ ได้อย่างไร นี่คือคำถามว่าเรามีมาตรการตรวจสอบเรื่องนี้กันหรือไม่
ต่อไปครับ เราจะเห็นว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นเราบอกว่าเรามีหลักสากลที่ยึดถือกัน อยู่ในเวลานี้ ซึ่งแน่นอนหลักสากลที่ว่าในการสลายการชุมนุมนั้น ตั้งแต่เรื่องกระสุนยางเลย เราบอกว่าอะไรครับ ใช้ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีการพยายามกระทำความรุนแรง หรือกรณีอันเกิด อันตรายต่อตำรวจหรือประชาชน อันนี้ก็คือกระสุนยางนะครับ ควรหลีกเลี่ยงหรือควรยิง บริเวณตั้งแต่ท้องลงไปจนถึงขา การเล็งที่หัวอาจจะทำให้กะโหลกศีรษะแตกได้ การยิงทีละ หลาย ๆ นัด เป็นชุด ๆ นี้ ขัดต่อหลักความได้สัดส่วนหรือความจำเป็น เห็นไหมครับ มันก็จะมีหลักการของเขาอยู่ ซึ่งนี่ละเป็นคำถามที่ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในเวลานั้นได้ใช้เรื่องนี้ มาคำนึงกันหรือไม่ แม้กระทั่งแก๊สน้ำตาครับท่านประธาน ก็มีเหตุผลการใช้เหมือนกัน และหลักการสากลยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นการยิงนั้นต้องยิงไปเฉพาะกลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรง และต้องยิงจากระยะไกล การเล็งไปที่ศีรษะหรือใบหน้านั้นก็อาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หรือบาดเจ็บสาหัสได้ การยิงแก๊สน้ำตาในพื้นที่อันอับอากาศนั้นก็อาจจะทำให้เกิดการขาด อากาศหายใจได้ และการใช้แก๊สน้ำตานั้นควรใช้ชนิดที่มีระดับความเป็นพิษที่ต่ำ แต่คงประสิทธิภาพอยู่
ต่อไปครับ เราจะเห็นว่าสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น เพียงต้องการวัตถุประสงค์ ในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อหวังว่าจะเป็นผลงานของพรรคก้าวไกล จะเป็นผลงานของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เพื่อศึกษาร่วมกัน และจะเป็นประโยชน์ต่อเรา ทุกคนในอนาคต เพราะเราเชื่อมั่นว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การชุมนุม เรียกร้องของประชาชนย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติวิสัยธรรมดา แต่เหตุการณ์ที่อำนาจรัฐเข้ามาจำกัดการชุมนุมต้องเป็นไปอย่างพอเหมาะพอดี และที่สำคัญ คือเป็นไปตามมาตรฐานและเป็นหลักการร่วมกันว่านี่คือการยึดถือได้ถูกต้อง เหมาะสมแล้ว ไม่ใช่ว่าสามารถใช้อาวุธอย่างไรก็ได้ สามารถเรียกกองกำลังที่ไหนก็ได้มาสลายการชุมนุม และประเมินสถานการณ์ได้ทุกเมื่อว่ากลุ่มใดเป็นปฏิปักษ์ก็สามารถใช้กำลังทางอำนาจ ทางปกครอง และกำลังทางเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้จะขยายความขัดแย้ง และเพิ่มความขัดแย้งจนหาจุดที่ยุติไม่ได้ ก็จะเป็นภาระต่อไปในรัฐบาลหน้าหรือในอนาคต ฉะนั้นผมจึงมองว่าเรื่องนี้เป็นของพวกเราทุกคนที่ต้องมาวางมาตรการนี้ร่วมกัน และแสวงหา ข้อเท็จจริงนี้เพื่อมาเป็นบทเรียน ไม่ได้เพื่อที่จะต่อว่าต่อขานใคร และไม่ได้เพื่อที่จะโจมตีใคร แต่เพื่อที่จะได้เป็นบทเรียนของเราร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ๑. การสืบเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง ร่วมกันผ่านสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้เพื่อให้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ๒. การศึกษา หาแนวทางมาตรฐานในการปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับการชุมนุม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ สากล ๓. การอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล ข้อเท็จจริงในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิด ความยุติธรรมต่อผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้สื่อข่าว และประชาชนโดยรอบ สุดท้ายนี้ผมจึง ขอเสนอญัตติดังกล่าวนี้เพื่อให้ที่ประชุมได้โปรดพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษามาตรการควบคุมฝูงชน และแสวงหาข้อเท็จจริงการสลายการชุมนุม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์การชุมนุมของเยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๓ จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๔๙ ขอบคุณมากครับท่านประธาน
ใช้สิทธิครับท่านประธาน
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล ผมขออนุญาตสรุปการเสนอญัตติในครั้งนี้ในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จากที่ฟัง เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไป ผมเห็นว่าแนวโน้มของเราเกือบทุกคนไปในทิศทางเดียวกัน คือเห็นว่าการสลายการชุมนุมและการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นยังมีข้อสงสัย ยังมีสิ่งที่จะต้อง มาหาข้อสรุปร่วมกัน ยังมีสิ่งที่ต้องมาพูดข้อเท็จจริงกันในวงที่ตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ เนื่องจากว่าเราไม่สามารถที่จะไว้วางใจให้หน่วยงานอื่นได้ดำเนินการเป็นตัวกลางได้ เพราะมี ส่วนได้เสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และเราไม่สามารถที่จะส่งให้ กมธ. หรือคณะกรรมาธิการสามัญ หน่วยใดหน่วยหนึ่งได้ เนื่องจากว่าไม่ใช่แค่เรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มันไม่ใช่เรื่องของทหาร อย่างเดียว มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว แต่มันยังมีความสัมพันธ์ในหลาย ๆ ส่วน ที่จะอาศัยอำนาจของสภาแห่งนี้ในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาเรื่องนี้ อีกทั้งเราต้องการบุคลากรที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจำนวนมากเข้ามาเพื่อนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่สำคัญเรายังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงขึ้นมาเพื่อนำไปสู่ ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่เป็นจำนวนมากที่กระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถเข้าถึงหลักฐานและกระบวนการที่เป็นเรื่องของเฉพาะทาง หรือวิชาการ เฉพาะทางได้ ผมจึงเห็นว่าสภาแห่งนี้ควรที่จะสนับสนุนญัตตินี้คือญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณามาตรการการสลายการชุมนุม หรือศึกษามาตรการควบคุมฝูงชน และแสวงหาข้อเท็จจริงการสลายการชุมนุมอันเนื่องมาจากเหตุการณ์การการชุมนุม ของเยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ จนถึงปี ๒๕๖๕ ขอบคุณ ท่านประธานครับ
เรียนท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตบางนา พระโขนงครับ พรรคก้าวไกล ขออนุญาตแสดงความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ท่านประธานครับ เรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ ผมเชื่อว่าทุกท่านเห็นด้วยว่าเราควรจะสนับสนุนร่างพระราชบัญญัตินี้ให้ได้รับการแก้ไขครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทุจริตคอร์รัปชันต่าง ๆ นานาที่เราพูดกันอยู่นี้มันย่อมมีส่วนสำคัญที่ จิตสำนึกด้วยครับท่านประธาน จิตสำนึกที่ว่าคืออะไรครับท่านประธาน ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่เขตพระโขนงผมนั้น กรณีรถบรรทุก ท่านจะเห็นว่าทางคณะกรรมการ ตำรวจ ทางจเรตำรวจได้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาไต่สวนความผิดเกิดขึ้นในหน่วยงาน ขององค์กรของรัฐเองโดยเฉพาะของตำรวจ คำตอบที่ได้มาคือไม่พบสาเหตุของการติดสินบน เจ้าพนักงานหรือประพฤติมิชอบ สุดท้ายเรื่องก็จบไป คณะกรรมการ ป.ป.ท. นี้จะเข้ามา ดำเนินการต่อไปถ้าหากมีการร้องเรียน แต่ถามว่าความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะทหาร และตำรวจที่ถูกร้องเรียนในกรณีลักษณะอย่างนี้จะมีความน่าเชื่อถืออย่างไร และสามารถ ดำเนินการเอาผิดต่อคณะกรรมการตรวจสอบวินัยภายในขององค์กรเหล่านี้ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างอีกกรณีในมาตรา ๔๕ ครับท่านประธาน ในร่างของ ครม. เองก็ได้ระบุไว้ว่ากรณี ที่มีเหตุคดีอาญาตามมาตรา ๑๔ นั้นให้เป็นหน้าที่อำนาจของอัยการทหารเป็นผู้มีอำนาจ แล้วให้อำนาจนั้นในการใช้ดุลยพินิจจากเจ้ากรมพระธรรมนูญ ผมถามว่าถ้าทหารตรวจสอบ ทหารกันเองแบบนี้ก็เข้าอีหรอบเดิมครับ เป็นการที่ใช้ดุลยพินิจ เนื่องจากว่าเจ้ากรม พระธรรมนูญนั้นก็อยู่ภายใต้อำนาจงานบริหารของทหารกันเอง สุดท้ายแล้วก็ไม่ไปไหนครับ สุดท้ายแล้วก็อยู่ในส่วนของความผิดจะเกิดขึ้นจะชอบธรรมไม่ชอบธรรม ตรวจสอบกันเอง ภายใน ฉะนั้นแล้วร่างของเพื่อนสมาชิกอย่างท่านวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ขออนุญาตเอ่ยนามครับ ท่านก็ระบุเพิ่มเติมไปในมาตรา ๔๕ ว่า ถ้าเกิดว่า ป.ป.ท. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. นั้น มีมติยืนยันให้ฟ้องก็ให้ส่งร่างนั้นไปวินิจฉัยโดยอัยการสูงสุด เรื่องนี้ก็เป็นเหตุที่ผมต้อง ยกตัวอย่างว่าถ้าเกิดว่ามีข้อมูล ข้อเท็จจริงเกิดขึ้นที่ ป.ป.ท. เห็นต่างจากหน่วยงานลักษณะ อย่างนี้ก็ควรที่จะไม่ให้มีการส่งให้อัยการสูงสุดในการพิจารณา เพื่อไม่ให้เป็นองค์กร ก็ตรวจสอบองค์กรกันเองซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลนะครับ หลายเหตุผลที่ผมว่ามานั้นมันเป็น เรื่องสำคัญ เนื่องจากว่าแม้กระทั่งเรามองว่าเรื่องรถบรรทุกมีการจ่ายส่วย มีการติดสินบน เจ้าพนักงานเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บอกว่าเป็นเรื่องแค่น้ำหนักเกิน อย่างมากก็แค่ถนน พังเสียหาย แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ครับท่านประธาน เขตบางนาของผมนั้นเป็นเหมือนประตู สู่กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก รถบรรทุกนับหมื่นคันต่อวัน เป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจ ระดับหลายหมื่นล้านบาท ผมถามว่าถ้าผมเป็นนักธุรกิจต่างประเทศนำเงินมาลงทุน ในประเทศไทย ผมจำเป็นต้องตั้งงบประมาณในบริษัทของผมนั้นที่ไม่สามารถนำงบประมาณนี้ ไปตรวจสอบได้เลยเพื่อมาจ่ายส่วยหรือมาจ่ายสินบนให้เจ้าพนักงาน ผมเป็นนักธุรกิจท่านนั้น ผมก็คงลำบากใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ถามว่าถ้านักลงทุนเขานำสิ่งนี้ไปพิจารณา เขาไม่กล้ามาลงทุน ผลกระทบไม่ได้เกิดกับถนนอย่างเดียวนะครับท่านประธาน มันเกิดกับ เม็ดเงินที่จะมาลงทุนจากต่างชาติ ที่ทุกครั้งจะเข้ามาลงทุนต้องคิดว่าจะต้องมาติดสินบน หน่วยงานของไทยไม่รู้กี่หน่วยงานต่อกี่หน่วยงาน สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่กระทบต่อ เศรษฐกิจของประเทศไทย ฉะนั้นผมจึงยืนยันว่าเรื่องนี้ถ้าหากมีการให้อำนาจก็อยากจะให้ อำนาจกับคณะกรรมการ ป.ป.ท. นี้ให้เป็นสิ่งที่เข้าถึงต่อกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และที่ สำคัญคือต้องตรวจสอบให้ถึงลูกถึงคน ไม่ใช่ว่าผู้ให้ก็เต็มใจให้ ผู้รับก็เต็มใจรับ พอมีการไป ตรวจสอบผู้ให้ก็บอกว่าไม่ได้ให้ ผู้รับก็บอกว่าไม่ได้รับ แล้วก็ไม่เกิดการตรวจสอบอย่างแท้จริง เพราะสมประโยชน์กันทั้งคู่ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกันครับ ฉะนั้นผมจึงขอฝาก ท่านประธาน แล้วก็เรียนผ่านท่านประธานไปยังเพื่อนสมาชิกครับว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วก็อยากให้เป็นการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็พิจารณาให้ครอบคลุม ทุกประเด็นครับ สำหรับวันนี้ขอบคุณครับ
เรียนท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล วันนี้มี เรื่องหารือท่านประธานเพียง ๑ เรื่อง เรื่องคล้าย ๆ กับท่านพูดเมื่อสักครู่นี้ ก็คือ
เรื่องแรก เรื่องตลาดนัดสัญจรบางนากลับมาอีกแล้วครับท่านประธาน รอบนี้หายไป ๒ เดือนกลับมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พอสมควร แต่ก็ยังติดขัดเรื่องข้อกฎหมายหรือไม่ ผมสงสัย จึงได้ทำหนังสือไปถึงทาง สน. บางนา รวมถึงสำนักงานเขตบางนาในฐานะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตาม พ.ร.บ. สาธารณสุข และข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานครว่าด้วยเรื่องตลาด ทำไปถึงตั้งแต่วันที่ ๑๙ วันศุกร์ ที่ผ่านมา วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๗ สน. บางนาใช้เวลา ๔ วันตอบหนังสือกลับมาถึง มาตรการในการดูแลควบคุมตามกฎหมาย แต่สำนักงานเขตบางนาไม่ตอบหนังสือกลับมา ใช้เวลา ๗ วัน จนวันนี้ตลาดเปิดไปเมื่อวันที่ ๒๕ เมื่อวานนี้ ก็จัดได้ปกติ วันนี้ก็อีก ๑ วัน และจะจัดไปอีกถึงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ผมเกรงว่าจะเกิดปัญหาเหมือนเดิม มีการละเล่น การพนันหรือมีการลักลอบการกระทำผิดกฎหมายอีก จึงเป็นห่วงเรื่องนี้ แต่ทำไมเจ้าหน้าที่ จึงไม่ตอบหนังสือกลับมาว่ามีการอนุญาตหรือไม่ ถ้าอนุญาตผมจะได้สบายใจ ถ้าไม่อนุญาต อย่างไรก็จะได้ว่ากันไป เพราะฉะนั้นผมถามเรื่องนี้ไป ครั้งก่อนก็มีการปรึกษาหารือ ท่านประธานเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๖ สภาใช้เวลา ๒๗ วันในการทำหนังสือไปถึง สำนักงาน แต่ปรากฏว่า ๙๘ วันแล้วครับ ผมยังไม่ได้รับคำตอบจากทางหน่วยงานผ่าน สภาผู้แทนราษฎร ในขณะเดียวกันผมถามเรื่องอื่น ๆ เช่นเดียวกันครับ เรื่องรถบรรทุก เรื่องอะไรไปเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ จนวันนี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลย ผมไม่รู้ว่ามันล่าช้า อยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าล่าช้าอยู่ที่สภาของเราหรือว่าไปล่าช้าอยู่ที่กระบวนการของหน่วยงาน ราชการ จึงเรียนผ่านท่านประธานสภาฝากให้กำชับไปที่หน่วยงานต้นสังกัดหรือแม้กระทั่ง ผู้บริหารสูงสุดของฝ่ายบริหาร คือนายกรัฐมนตรี ช่วยกำชับหน่วยงานภายใต้กระทรวงต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยในการตอบคำถามหรือข้อปรึกษาหารือของสภาผู้แทนราษฎร ให้กับสภาผู้แทนราษฎรครับ ขอบคุณมากครับท่านประธาน
เรียนท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เขตพระโขนง เขตบางนาครับ วันนี้ผมขออภิปรายสนับสนุนญัตติของเพื่อนสมาชิก เรื่อง การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแก้ปัญหาการจัดการขยะชุมชน ของคุณพูนศักดิ์ จันทร์จำปี เพื่อนสมาชิก นะครับ วันนี้หลักการที่ผมสนับสนุนเรื่องนี้คือการจัดการปัญหาขยะชุมชนที่ส่งผลต่อ ประชาชน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบ ในการจัดการขยะเกี่ยวกับขยะอินทรีย์ หลังจากที่มีการก่อตั้งโรงจัดการขยะที่บริเวณ อ่อนนุช ๘๖ เขตใกล้เคียงกับเขตบางนา เขตพระโขนงของกระผมนี้ ซึ่งแน่นอนในพื้นที่ กรุงเทพมหานครนั้นจะมีจุดกำจัดขยะหรือจัดการกับขยะทั้งหมด ๓ จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นสายไหม หนองแขม และอ่อนนุช ซึ่งแน่นอนครับ ผลกระทบใกล้เคียงกันเลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือส่งกลิ่นเหม็นไปคละคลุ้งทั่วเขตพื้นที่ใกล้เคียงและเขตพื้นที่ในการตั้งที่ทำการ โรงงานจัดการขยะนี้เอง ซึ่งภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นจุดบริเวณอ่อนนุชครับท่านประธาน ซึ่งตรงนี้เป็นพื้นที่จัดการขยะที่เราเรียกว่า โครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเพื่อผลิต พลังงานขนาดไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ตันต่อวัน ซึ่งจัดการหรือบริหารโดย บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัดนี้ผู้ถือหุ้นโดยกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. จำนวนหุ้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ๙๙.๙๘ เปอร์เซ็นต์ หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยกรุงเทพมหานครนั่นเอง และได้ทำสัญญากับกรุงเทพมหานครเพื่อก่อสร้างโรงจัดการขยะมูลฝอยเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า สะอาด แต่มันไม่ได้สะอาดอย่างที่คิดครับ อันนี้คือผังโรงงาน ผังจุดจัดการขยะอินทรีย์ที่พูด ง่าย ๆ ภาษาชาวบ้าน ก็คือเอาขยะที่มาจากเศษอาหารไปหมักให้ได้แก๊สไข่เน่าขึ้นมานะครับ แล้วก็เอาไปผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ในขณะที่เวลาคุณจัดการขยะนั้นคุณบอกว่าคุณมีระบบ จัดการ คุณมีระบบจัดการกลิ่น คุณมีระบบจัดการกาก แต่สุดท้ายแล้วกลิ่นเหล่านั้น โชยคละคลุ้ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว ไปหลายสิบกิโลเมตร โดยเฉพาะเขตบางนา ของผมนั้นเปิดหน้าต่างออกไม่ได้นะครับท่านประธาน นั่งทานข้าวอาหารเย็นอยู่รับประทานกัน ไม่ได้เลยทีเดียว เพราะว่ากลิ่นค่อนข้างรุนแรง จนกระทั่งกรมอุตสาหกรรมโรงงานได้ลงพื้นที่ ไปตรวจสอบ ต้องขอบคุณท่านอธิบดี เดือนเมษายนปี ๒๕๖๖ ปีที่ผ่านมานี้เอง ลงพื้นที่ไป แล้วพบปัญหาจริงตามสิ่งที่ประชาชนร้องเรียน สั่งปิดโรงงานเลยครับ สั่งปิดโรงงานให้ไป จัดการเรื่องการจัดการกลิ่นก่อนที่คุณจะเปิด ซึ่งเราไปดูกันครับ ผังสถิติ ท่านจะเห็นสีเขียว ๆ นั้น คือจำนวนปริมาณขยะต่อเดือน พอเดือนพฤษภาคมสั่งปิดปุ๊บลดเหลือศูนย์เลย หมายถึงว่า ไม่เอาขยะเข้ามา ให้ไปจัดการขยะก่อน ไปจัดการกลิ่นให้เรียบร้อย จนกระทั่งเดือน พฤศจิกายนเปิดใหม่อีกรอบหนึ่ง เรื่องร้องเรียนมาเต็มที่เลยครับ มาผ่านผู้แทนราษฎร มาผ่าน สก. ก็มาผ่านเขตว่ากลิ่นกลับมาอีกแล้วและรุนแรงกว่าเดิม หมายความว่าการจะเอา ขยะอินทรีย์เอาไปทำให้เกิดการจัดการขยะบอกว่าแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง แก้ไขปัญหา ต่าง ๆ นั้นกลับเป็นสร้างมลภาวะทางกลิ่น หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมา ตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมา ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งแน่นอนพอไปดูรายงานจริง ๆ โรงงานนี้เริ่มก่อสร้างมา ปี ๒๕๖๑ ครับท่านประธาน เปิดดำเนินการมา ปี ๒๕๖๓ ด้วยวงเงินงบประมาณ ๓,๕๐๔ ล้านบาท ซึ่งเปิดมา ปี ๒๕๖๓ แต่ถูกปิดไป ปี ๒๕๖๖ และเปิดใหม่อีกทีเดือนพฤศจิกายน ผมทราบว่า จะถูกสั่งปิดอีกเร็ว ๆ นี้ และกำลังพิจารณาที่จะต่อสัญญาว่าจะมีการต่อสัญญาโรงงานนี้ ต่อหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาจะต่อสัญญา ผมเคยเข้าไปพบกับท่าน ผอ. สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พร้อมเพื่อน สส. กทม. ของกระผมนี้ ท่านก็ได้รับปากว่าถ้าจะมีการต่อ สัญญาก่อสร้างหรือผลิตโรงงานไฟฟ้านี้ต่อก็จะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ก่อน ก็จะต้องทำ ถามพี่น้องประชาชนก่อน เราก็อยากยืนยันว่าถ้าจะถามจริง ๆ ก็อย่าไปถามเฉพาะในเขต พื้นที่อ่อนนุชบริเวณนั้น ก็มาถามแถวพระโขนง บางนาด้วย เพราะว่ากลิ่นไปไกลเหลือเกิน ฉะนั้น ๕ ข้อหรือ ๔ ข้อเรียกร้อง ที่ทางคณะกรรมการพูดคุยกัน บอกว่าขอ ๔ ข้อแก้ไข และข้อแนะนำ ๑. ก็คือเพิ่มเวลาล้างทำความสะอาดโรงงานในจุดที่เป็นต้นกำเนิดของกลิ่น หมายความว่า เราต้องมีการทำความสะอาดบ้างไม่ใช่ว่าผลิตอย่างเดียว และ ๒. ก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดกลิ่นภายในอาคาร จริง ๆ ในโรงงานตัวนี้ มีระบบบำบัด กลิ่นแต่ไม่รู้ว่าไม่มีประสิทธิภาพหรือหย่อนยานตรงไหนถึงส่งกลิ่นออกมาได้ขนาดนั้น ๓. ก็คือ ก่อสร้างปิดคลุมโรงงานให้มิดชิดกว่าเดิม พูดง่าย ๆ ว่าหลายจุดเวลาเขาจะเติมกาก เศษอาหาร ท่านประธานครับ เขาก็จะเปิดประตูทั้งหมด ๑๔ บาน มีประตู ๑๔ บาน เขาจะ เปิดทีละบาน กลิ่นมันออกมาตอนเปิดประตูนี้นะครับท่านประธาน ฉะนั้นเขาบอกว่าเดี๋ยวเขา จะทำครอบอีกทีหนึ่ง ครอบประตูอีกทีหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีโครงการต่อไปหรือไม่ สุดท้ายแล้ว ก็คือการจัดช่วงเวลาการทำงานในส่วนต่างของโรงงาน หมายความว่าเขาบอกว่าถ้าช่วง กลางวัน ช่วงกลางวันประชาชนไม่อยู่บ้านพักอาศัยไปทำงาน เขาจะเริ่มเติมเศษอาหาร ในเวลานี้ พูดง่าย ๆ ว่าเศษขยะอินทรีย์ในเวลานี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชน ส่วนกลางคืน ประชาชนกลับมา เขาจะไม่เติม แต่สุดท้ายแล้วก็ยังส่งกลิ่นอยู่ ก็แสดงว่ายังมีการเปิดเติมเศษ อาหารในช่วงกลางคืนอยู่ ก็อยากสนับสนุนญัตตินี้ของเพื่อนสมาชิกเพื่อไม่ใช่แค่การไปพูดว่า จะต้องมีการทำโรงงานสะอาด เพื่อพลังงานสะอาดอย่างเดียว แต่ผลกระทบต่อสังคมใน อนาคตก็จะต้องช่วยกำกับดูแลด้วย เรื่องนี้ผมก็ท้วงติงไปในที่ประชุมของ กทม. แล้วก็ ในที่ประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง ซึ่งแน่นอนสิ่งที่เขาแจ้งตอบกลับมาก็คือว่า พวกโรงงาน พวกสถานที่ก่อสร้างเกี่ยวกับการบำบัดขยะ บ่อขยะเหล่านี้มันตั้งมาก่อนคุณเกิด เสียอีก เพราะในบริเวณโดยรอบนั้นมันเป็นป่าหญ้าทั้งนั้น เมื่อ ๓๐ ปีก่อน จริงอยู่เมื่อ ๓๐ ปีก่อน มันเป็นป่าหญ้าเป็นทุ่งหญ้า แต่ว่า ณ เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป ก็อยากให้ คณะกรรมาธิการชุดนี้ถ้าจะมีการตั้งขึ้นก็พิจารณาเรื่องอนาคตด้วยครับ ขอบคุณครับ ท่านประธาน
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง บางนา พรรคก้าวไกล กรุงเทพมหานคร วันนี้ผมขออภิปรายร่วมสนับสนุนญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณา แนวทางนิรโทษกรรม ตามที่เพื่อนสมาชิกได้เสนอต่อสภาแห่งนี้ ท่านประธานครับ ผมได้ฟัง เพื่อนสมาชิกหลายท่านพูด ก็มีบางท่านก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่ผู้ชุมนุมหรือผู้ที่ถูกดำเนินคดี หลายครั้งไม่ได้เกิดจากการที่มีผู้ที่อยู่เบื้องหลังเสียทีเดียว ไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกจัดตั้ง ไม่ได้เป็น ผู้ที่ถูกโน้มน้าวจิตใจให้ออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองเพื่อสนับสนุนผู้อยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งและการถูกดำเนินคดีของพี่น้องประชาชน ในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมานั้นล้วนแต่มีเหตุจูงใจทางการเมืองในความคิดความเชื่อของพวกเขา เป็นจำนวนมาก และมากเสียจนที่เราไม่สามารถที่จะนับเป็นจำนวนตัวเลขได้ เนื่องจากว่า หลายคนก็ไม่สามารถที่จะมาแสดงตนอยู่ที่นี้หรือถูกดำเนินคดีก็มีเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ผมจะพูดถึงเรื่องเหตุผลจูงใจที่เป็นแกนหลักหัวใจสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น ขอสไลด์ด้วย ครับท่านประธาน
สไลด์ที่ท่านเห็นอยู่นี้ผมกำลังจะพูด ถึงวงจรอุบาทว์การเมืองไทย อุบาทว์นี้หมายความว่า ความไม่เป็นมงคล ตามพจนานุกรม ไม่ใช่คำรุนแรงอะไร จะเห็นว่าเราวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เรามี รัฐธรรมนูญครับท่านประธาน พอเรามีรัฐธรรมนูญเสร็จปุ๊บเรามีการเลือกตั้ง พอเรามี การเลือกตั้งเสร็จแล้วเราก็มีสภาผู้แทนราษฎรอย่างที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ หลังจากนั้นเราก็มี การตั้งรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีขึ้นมา สุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรีมีรัฐบาลบริหาร เกิดเงื่อนไข ทางการเมืองเกิดขึ้นทันที ถ้ารัฐบาลนั้นไม่ได้ตอบสนองต่อผู้มีอำนาจในประเทศนี้ก็จะมีการ สร้างเงื่อนไขขึ้นมาครับ แล้วสุดท้ายก็ แอ่น แอน แอ๊น รัฐประหาร รัฐบาลก็คือ การใช้อำนาจ ของทหารในการมาบังคับล้มล้างการปกครอง แล้วก็ใช้คำสั่งทางการทหารนั้น หรือตั้งองค์กร ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อพิจารณาบัญญัติโทษต่าง ๆ ให้กับผู้ที่คิดต่างทางการเมือง แล้วก็ ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง เพื่อเอามาประกาศบังคับใช้ วนเวียนอยู่แบบนี้หลายครั้ง หลายคราครับ ท่านประธานทราบไหมครับว่าตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบันนี้เรามีการ รัฐประหารมากกว่าสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียอีกครับ ในขณะเดียวกันเรามีกฎหมายที่ใช้อยู่ ในปัจจุบันนี้ ตราโดยสภาที่มาจากการรัฐประหาร เราจะเรียกว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เราจะเรียกว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือสภาอะไรก็แล้วแต่ ที่ตรากฎหมายให้เราใช้อยู่ทุกวันนี้ มากกว่ากฎหมายที่ถูกตราโดยสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีก เรามีรัฐบาล ที่บริหารประเทศ เรามีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร ที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานกว่า การมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีกครับ เรามีอะไรอีกครับท่านประธาน เรามี องค์กรต่าง ๆ ที่มาตัดสิน ที่มาชี้นำความผิดของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ ในประเทศนี้ ที่มาจากคณะรัฐประหารมากกว่าการแต่งตั้ง หรือการสถาปนาโดยอำนาจของ สภาผู้แทนราษฎรเสียอีกครับท่านประธาน ผมจึงบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเมื่อกระบวนการ มันผิดเพี้ยน และมันไม่สามารถนำไปสู่กระบวนการที่เรียกว่ายุติธรรมได้ ผู้คนและประชาชน จำนวนมากจึงไม่อาจจะยอมรับในกระบวนการปกครองของพวกเขาแบบนี้ได้ มันจึงเกิด ความอัดอั้น คับแค้นใจ เมื่อไม่สามารถใช้อำนาจทางตรงได้ เมื่อไม่สามารถใช้อำนาจทางอ้อมได้ อย่างผู้แทนราษฎร เขาก็จะหันหน้าไปสู่การใช้อำนาจทางตรงของพวกเขา คือการออกมา เรียกร้องหรือการชุมนุม นั่นเป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาครับท่านประธาน เช่นเดียวกันกับตัวกระผมนี้ วันนี้ผมเดินทางมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่ากระบวนการทางอ้อม คือการใช้อำนาจทางนิติบัญญัตินี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ผลักดันนโยบาย ที่ผมเชื่อ ผมศรัทธาว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้ววันไหนก็ไม่ทราบจะมา ยุบพรรคนี้อีก นั่นคือเหตุผลของเราว่าถ้ามันไม่สามารถใช้เส้นทางในกระบวนการนี้ได้ แล้วจะ ให้พวกผมใช้กระบวนการอย่างไร ท่านประธานคิดว่าการที่จะให้พวกเขาไปติดคุก จำคุก ถูกคุมขัง แล้วนั่นจะทำให้พวกเขากลัว ให้พวกเขารู้สึกหวั่นเกรง แล้วสุดท้ายก็ศิโรราบ เสียทีเดียวอย่างนั้นหรือท่านประธาน ผมเชื่อว่าไม่จริงครับ เอาตัวอย่างผมก็ได้ครับ ท่านประธาน ผมอยู่ผ่านเรือนจำมาแล้วทั้งหมด ๓ เรือนจำในประเทศนี้ ติดคุกในสถานที่ คุมขัง ที่เรียกว่าสถานีตำรวจมาแล้วมากกว่า ๑๐ สถานีตำรวจ ถูกอุ้มเข้าค่ายทหารมากกว่า ๒ ค่ายทหาร และถูกขังที่ ตชด. มากกว่า ๒ ค่าย ตชด. ผมเชื่อว่าผมมากที่สุดในห้องประชุม แห่งนี้ ถามว่าผมกลัวไหม ผมไม่ได้กลัวนะครับ มิหนำซ้ำกลับคับแค้นใจเสียด้วยซ้ำ นั่นคือ เป็นตัวอย่างครับว่าการที่คนเราถูกกระทำย่ำยีด้วยกระบวนการต่าง ๆ นั้นไม่สามารถที่จะทำ ให้คนรู้สึกว่าเรายอมรับกับสภาพความเป็นอยู่นี้ได้ ผมจึงบอกว่ามีทางเดียวกัน อย่างน้อยให้ ประชาชนที่เขาออกมาเรียกร้องทางการเมือง ออกมาเรียกร้องในความคิดความเชื่อของ พวกเขานั้น ได้รับการนิรโทษกรรม ให้พวกเขาได้มีส่วนในการเสนอความเห็นของพวกเขานั้น ให้มันถูกต้องตามครรลองตามกฎหมาย และที่สำคัญคือว่าอย่างน้อยเรามีโอกาสให้อภัยกัน ในรอบนี้ เขาก็จะได้มีส่วนในการสนับสนุนนโยบายทางประชาธิปไตยต่อไปได้ โดยที่ไม่ได้หัน ไปสู่ทางอื่นที่มันนอกเหนือกว่ากฎหมายกำหนด ฉะนั้นผมเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ทุกคน มีความหวังดีที่จะให้สถานการณ์คลี่คลายไป แต่ที่ผมมาชี้ชัดให้เห็นวันนี้ก็เพื่อให้เราได้รับรู้ รับทราบร่วมกันว่ากระบวนการที่เกิดการดำเนินคดีของพี่น้องประชาชนนับพันคนนี้ ไม่ได้ เกิดจากมูลเหตุจูงใจที่มาจากการที่อยู่ ๆ นึกอยากสนุกขึ้นมา อยากโดนดำเนินคดี ไม่ใช่ครับ มันมาจากความอัดอั้น คับแค้นเป็นจำนวนมาก นับคนไม่ได้ นับสาเหตุไม่ถ้วน และที่สำคัญ คือมาจากวงจรอุบาทว์ที่ผมได้กล่าวมานี้เป็นสาระสำคัญครับ ขอบคุณมากครับท่านประธาน ครับ
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม ปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง เขตบางนา พรรคก้าวไกล กรุงเทพมหานคร ท่านประธานครับ ผมมีเรื่องเรียนปรึกษาหารือท่านประธานเรื่องหนึ่ง ด้วยกัน คือเรื่องสำคัญในเวลานี้ที่เรากำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกิดการประชันหน้ากันในเวลานี้ ซึ่งมีการพยายามใช้กำลังที่นอกเหนือ กฎหมายเข้ามาพยายามดำเนินการจัดการเอง ด้วยอาศัยอำนาจความรู้สึกคับแค้นข้องใจ อันนี้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเรื่องสำคัญที่ผมจะปรึกษาหารือท่านประธานสภาไปยัง ท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานความมั่นคง ครับท่านประธาน คือเรื่องที่เราทราบอยู่แล้วว่ากรณีนี้อาจจะมีเหตุการณ์เผชิญหน้ากันของ กลุ่มผู้ชุมนุม ๒ ฝ่าย อย่างเช่นกรณีวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ บริเวณ BTS สยามครับ ท่านประธาน ซึ่งกรณีนั้นผมเห็นมีการ Post ของอีกกลุ่มหนึ่ง ชัดเจนว่ามีการจงใจเข้ามา หวังจะก่อเหตุ แต่ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงปล่อยให้มีข่าว ไม่ดำเนินการป้องกันเหตุหรือระงับ เหตุก่อนที่จะเกิดการเผชิญหน้ากัน ซึ่งแน่นอนครับ กำลังเจ้าหน้าที่เพียงพอหากต้องการ หรือ กำลังเจ้าหน้าที่ที่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง คือ สน. ปทุมวัน ก็สามารถดำเนินการได้ แต่เหตุใด จึงปล่อยให้มีการรุกล้ำพื้นที่ของกันและกันและเกิดการเผชิญหน้า หลังจากเหตุการณ์นั้นก็มี การท้าทายกันเกิดขึ้น และมีการพร้อมที่จะเข้าใช้กำลังกันได้ทุกเมื่อ ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่อยากให้ มันเกิดขึ้นเหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยสูญเสียกันมาก่อน จึงมีเรื่อง ๓ ประเด็น ฝากไป ถามท่านนายกรัฐมนตรีครับ ๑. เจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบหน่วยการข่าวนั้นมีการประมวลข่าว ประมวลเหตุการณ์ หรือประเมินสถานการณ์ก่อนล่วงหน้าหรือไม่ว่าจะเกิดเหตุนั้น ๒. ก็คือ ว่าเมื่อทราบแล้วได้มีการเตรียมการรับมืออย่างไร ได้มีการเตรียมพร้อมหรือมีการประชุม หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อมอบหมายเจ้าหน้าที่รับผิดชอบหรือไม่ และใครเป็น ผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ ๓. ก็คือว่าหากเจ้าหน้าที่ทราบแล้วและไม่ได้มีการประเมินการ ที่ดีพอ หรืออาจจะมีการจงใจให้เกิดเหตุการณ์นั้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และมีแผนการ รับมืออย่างไร ฝากท่านประธานเรียนผ่านไปยังท่านนายกรัฐมนตรีครับ ขอบคุณครับ